นักข่าวดัชนำพนักงานสอบสวนชี้จุดถูกยิงได้รับบาดเจ็บย่านราชดำหริ ใกล้กับจุดที่นักข่าวอิตาลีถูกยิงดับ
วันนี้ (26 ก.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษาสบ. 10 เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ข้อมูลกรณีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ 91 ศพ โดยระบุว่า ได้เข้าให้ข้อมูลในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบการทำงานในช่วงดังกล่าว ซึ่งได้ชี้แจงเกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ เช่น การตั้งด่าน การรักษาเส้นทาง ส่วนกรณีชายชุดดำ ตนจำไม่ได้ว่ามีอยู่ในสำนวนคดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนยังให้ปากคำไม่แล้วเสร็จเนื่องจากพนักงานสอบสวนมีพยานชาวต่างชาติอีก 1 ปากรอให้ข้อมูล ดังนั้น จึงจะนัดหมายให้ตนเข้าให้ข้อมูลอีกครั้งในภายหลัง
ด้านนายมิเซล มาสส์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ เรดิโอเวิลด์ไวด์ เดินทางเข้าให้ข้อมูลคดีดังกล่าว ในส่วนการเสียชีวิตของ นายฟาบริโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 กล่าวว่า ตนต้องการเข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิงจนเสียชีวิต เพราะตนก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณใกล้กัน ล่าสุดได้ผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ออกไปแล้วโดยเก็บไว้ที่บ้านพักที่กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย หากดีเอสไอต้องการนำกระสุนไปพิสูจน์ก็ยินดีจะส่งกระสุนดังกล่าวมาให้ตรวจสอบ แต่วันนี้ไม่ได้นำกระสุนที่ผ่าออกมาด้วย มีเพียงภาพถ่ายกระสุนที่ได้มอบให้พนักงานสอบสวนไปก่อนหน้านี้
“ตนไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงตน แต่เห็นทหารถือปืนอยู่บริเวณนั้น การเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งนี้เพื่อให้การเป็นพยานกับดีเอสไอจะได้มีหลักฐานดำเนินคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยขณะที่ตนถูกยิงนั้นอยู่ระหว่างการโทรศัพท์เพื่อรายงานสดเข้าสถานี”
พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ขอให้นายมาสส์ส่งภาพและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำข่าวในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงมาประกอบการพิจารณาคดีเพิ่มเติม นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนพร้อมด้วยนายมาสส์ จะลงพื้นที่เพื่อชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาคดีการเสียชีวิตของ นายฟาบริโอ โดยนายมาสส์เป็นนักข่าวที่ได้รับบาดเจ็บถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 และเพิ่งผ่าลูกกระสุนออก ก่อนหน้านี้เคยให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งได้ให้การว่าเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิง ทั้งนี้ นายมาสส์จะยังไม่ใช่พยานปากสุดท้ายในคดีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การสอบสวนคดีการเสียชีวิตมีความคืบหน้าไปมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้นำตัวนายมาสส์ มาชี้จุดที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บบริเวณแยกราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน โดยนายมาสส์ เริ่มชี้จุดแรกหลังเดินมาจากแยกราชประสงค์เพื่อจะมาสังเกตการทำข่าวของคนเสื้อแดงที่ปักหลักบริเวณย่านราชดำริ แต่เมื่อจะเดินตรงไปทางแยกราชดำริก็พบกับเพื่อนนักข่าวชาวอินโดนีเซียกับไทยกำลังบันทึกภาพกลุ่มทหารที่อยู่บริเวณด้านหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งห่างจากจุดที่ยืนอยู่ประมาณ 100 เมตร นายมาสส์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรรายงานเหตุการณ์เข้าสถานีข่าว แต่เมื่อทหารเห็นเข้าจึงเดินหน้าเข้ามาหานายมาสส์ซึ่งขณะนั้นกำลังโทรศัพท์และยืนปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม โดยระหว่างรายงานข่าวนายมาสส์ระบุว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งทหารทำให้กลุ่มเสื้อแดงกระจายกันหลบหนี ขณะที่นายมาสส์เองก็หันหลังวิ่งหลบหนีด้วย กระทั่งมาถึงบริเวณด้านหน้าบริษัท ไลมอน แลนด์ จำกัด นายมาสส์ก็ถูกยิงที่ชายโครงด้านหลังและหัวไหล่ รวม 2 นัด ก่อนที่จะมีผู้ชุมนุมพาหนีออกไปจากจุดเกิดเหตุ ส่วนกรณีการเสียชีวิตของนายฟาบริโอนั้น นายมาสส์บอกว่าไม่ได้เห็นเหตุการณ์ว่านายฟาบริโอถูกยิงอย่างไร แต่ได้ยินเสียงปืนและมีเพื่อนนักข่าวโทรศัพท์มาบอกว่านายฟาบริโอถูกยิง แต่ก็ไม่สามารถออกไปดูเหตุการณ์ได้เพราะยังมีเสียงปืนดังอยู่
นายมาสส์ กล่าวภายหลังชี้จุดเกิดเหตุว่า ได้ยินเสียงปืนดังมาจากฝั่งทหารเท่านั้น ส่วนผู้ชุมนุมเห็นว่าส่วนใหญ่จะมีอาวุธเช่น ไม้พอง กระบอก เห็นอาวุธปืนเพียงแค่กระบอกเดียวเท่านั้น ซึ่งการที่ตนถูกยิงไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนาหรือลูกหลง เมื่อถามถึงชายชุดดำ นายมาสส์ กล่าวว่า ไม่เห็นชายชุดดำ การเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะจับคนทำผิดได้ แต่ต้องการรู้แค่ใครเป็นคนทำ..
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น