ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
www.becomz.com

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ รามคำแหง

เปิดบริการซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงที่สะดวกรวดเร็ว ด้วยทีมงานช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ มืออาชีพ ประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่จะไปบริการซ่อม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน วัด โรงเรียน ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ โดยคิดอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 400 บาทต่อเครื่องเท่านั้น

การให้บริการ

หากลูกค้ายืนยันการซ่อมแล้วทางเราออกเดินทาง ไปแล้วยกเลิกการซ่อมในขณะที่ทางเราเดินทางไปถึงแล้วจะต้องเสียค่าเสียเวลาและการเดินทาง 400 บาท

พื้นที่ที่บริการ

ซ่อมคอมนอกสถานที่,ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106 เริ่มต้นที่ 400บาท/เครื่อง (ปล. ให้บริการเฉพาะเขตพื้นที่ รามคำแหง บางกะปิ นวมินทร์ เสรีไทย ลาดพร้าวเฉพาะ บริเวณ จากเดอะมอลบางกะปิถึงโชคชัย 4 )

อัตราค่าบริการ becomz

ติดต่อ : TaNDesgin โทร. 095-219-0106 www.i-comz.com

บริการหลังการซ่อม โดย www.i-comz.com

ทุกงานซ่อมรับเราประกัน 1 สัปดาห์เต็ม หากปัญหาเดิมยังอยู่ เราจะไปบริการซ่อมให้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยใบ้บริการกับทาง www.i-comz.com เรามีบริการซ่อมคอมออนไลน์ฟรีให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่า

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

“พท.”ยอมรับดอนเมืองคะแนนสูสี


วันนี้ (8 มิ.ย.) เมื่อเวลา10.00น.ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวพาดพิงรัฐบาลว่า มีความเกี่ยวข้องกับกรณีที่มีผู้หญิงสวมเสื้อแดงตะโกนขับไล่ในขณะที่ลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขตดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า บางทีการดราม่า ขอคะแนนสงสารก็ใช้ได้ผลในบางพื้นที่ ทั้งนี้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยขอปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตะโกนขับไล่ดังกล่าว ถือเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่เป็นธรรมต่อรัฐบาล ซึ่งการออกมาพูดดังกล่าวอาจหวังผลให้เกิดผลกระทบต่อคะแนนเสียงของผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยขายนโยบาย ทำดอนเมืองให้เป็นประตูสู่กรุงเทพอย่างแท้จริง

“ถึงว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำ และ ส.ส.จากทั่วประเทศลงไปช่วยหาเสียงในพื้นที่อย่างหนักหลายรอบ ได้คะแนนเสียงตอบรับที่ดี แต่จากข้อมูลในพื้นที่เราก็ยังไม่สามารถวางใจได้เพราะคะแนนสูสี” รองโฆกษกพรรคพื่อไทย กล่าวและว่าดังนั้นในช่วงโค้งสุดท้ายพรรคได้เพิ่มกลยุทธ์ เคาะประตูบ้าน ปูพรมเดินเท้า 9 เข้าหา คนดอนเมือง จะเดินให้มากขึ้น พร้อมกับเสริมกำลังหลักที่วางไว้ 9 ทีมเพิ่มอีก 3 เท่าเป็น 27 ทีม  เพื่อขออีก 1 เสียงมาทำงานกับรัฐบาล
ด้านน.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยขอโอกาสชาวดอนเมืองให้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากๆ ทั้งการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 9 มิ.ย. และวันเลือกตั้งที่ 16 มิ.ย.นี้ เพื่อแสดงถึงระบอบประชาธิปไตย  และอยากขอโอกาสให้กับนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.ของพรรคเพื่อไทย   ที่จะเข้ามาสานงานต่อจากส.ส.คนเก่าในพื้นที่. 
Share:

หมอฝังเข็มชาวออสเตรเลียตายปริศนา









หมอฝังเข็มชาวออสเตรเลียนอนตายไม่ทราบสาเหตุ
วันนี้ ( 8 มิ.ย.) ร.ต.ท.ศรีเดช สุวรรณ์ ร้อยเวร สภ.เมือง จ.เชียงราย รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีกลิ่นคล้ายศพโชยออกมาจากบ้านพัก จึงพร้อมด้วยชุดสืบสวนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ภายในหมู่บ้านพฤกษชาติ ซอยที่ 5  เลขที่ 522/16 หมู่ที่ 6 ต.สันทราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ลักษณะบ้านเป็นทาวส์เฮาส์ชั้นเดียว พบนางเกสร นันตา อายุ 49 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ยืนรอพบตำรวจอยู่ และบอกว่าบ้านหลังนี้ตนได้ให้ นายแพทย์มอริส คีเวอร์ อายุ 75 ปี ชาวเมืองควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เช่าอยู่อาศัยมาได้ประมาณ 1 ปี แล้ว จากนั้น เจ้าหน้าที่จึงงัดประตูบ้านเข้าไปภายใน ที่บริเวณห้องนอน พบศพนายแพทย์มอริส สภาพนอนตะแคงข้างขวา อยู่ในชุดกางเกงขาสั้น และเสื้อยืด สีดำ สะภาพศพขึ้นอืด ตรวจตามร่างกายไม่พบบาดแผลการถูกทำร้ายแต่อย่างไร สันนิษฐานว่า ตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน ภายในห้องพักไม่พบร่องรอยการต่อสู้  และในบ้านพักไม่มีการรื้อค้น พบทรัพย์สินคนตายยังอยู่ครบ
จากการสอบสวนนางเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดน่าน ซึ่งอยู่อาศัยร่วมกับคนตายได้ 6 ปี กล่าวว่า หลังเกษียณอายุที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ผู้ตายได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยร่วม 10 ปี แล้ว โดยยึดอาชีพเป็นหมอฝังเข็ม เดินทางรักษาคนไข้ไปตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย ไม่มีโรคประจำตาย แต่เป็นคนชอบดื่มเหล้า ระยะหลังไม่รับรักษาคนไข้ พักผ่อนอยู่แต่ในบ้านพักที่เช่า ต่อมาตนแยกทางกัน แต่ยังคงมาหาสู่และเยี่ยมคนตายอยู่เสมอ ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทหรือโกรธเคืองกับเพื่อนบ้าน ส่วนสาเหตุนั้น ต้องรอแพทย์นิติเวชผ่าพิสูจน์ต่อไป.
Share:

สธ.ยันบุคลากรหนุน“พีฟอร์พี”เริ่มแล้ว 20-30 %



“หมอประดิษฐ” ประกาศเดินหน้า “พีฟอร์พี” 1 ต.ค.หน่วยบริการทุกแห่งต้องทำ ด้าน ปลัด สธ. เผย 20-30 เปอร์เซ็นต์เดินหน้าแล้ว พบส่วนใหญ่พึงพอใจ พร้อมส่งทีมพี่เลี้ยงไปสนับสนุน รพ.ที่ไม่พร้อม
วันนี้ ( 8 มิ.ย.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ถึงข้อสรุปในการหารือกับแพทย์ชนบทเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (พีฟอร์พี)เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ได้ทำความเข้าใจและเห็นตรงกันว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีความตั้งใจดีที่ต้องการทำเพื่อประชาชน สรุปพีฟอร์พีที่เริ่มมาจะเดินหน้าต่อไปไม่หยุด โรงพยาบาลที่ทำแล้วมีปัญหา รายได้ลดลง กระทรวงจะเข้าไปดูแล เยียวยา ชดเชยรายได้ กลุ่มที่เดินหน้าแล้วก็ทำต่อไป ส่วนกลุ่มที่ยังไม่พร้อมก็เริ่ม 1 ต.ค.2556 ระหว่างนี้จะตั้งคณะทำงานประกอบด้วยคนมีส่วนได้เสียทั้งหมดทั้งโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./ รพท.) พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชกร กรมบัญชีกลาง มาปรับปรุงรายละเอียดปลีกย่อยให้เกิดความคล่องตัว ที่ผ่านมาทุกคนก็อยากทำ แต่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ การสื่อสารอาจไม่ชัดเจนเลยออกมาเป็นอย่างนั้น
“พีฟอร์พีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ ปกติการรักษาพยาบาลมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจไปลดรายได้ บางกลุ่มที่อยู่ในเขตเมืองต้องมีการปรับลดบ้าง แต่พีฟอร์พีจะไปเสริมรายได้ส่วนที่หายไป”นพ.ประดิษฐ กล่าว
ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการประมาณ 1.8 แสนคน ลูกจ้าง 1.4 แสนคน พีฟอร์พีเริ่มใช้ตั้งแต่เม.ย.ที่ผ่านมา บุคลากรสาขาวิชาชีพอื่นซึ่งไม่เคยได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือได้น้อยก็พึงพอใจที่กระทรวงเห็นคุณค่า มีคนส่วนใหญ่ที่เห็นด้วย แต่อาจมีบางส่วนยังไม่เข้าใจมองว่าเพิ่มภาระงาน ทำให้เกิดการล่าแต้ม ดังนั้นกระทรวงจะปรับปรุงการเก็บข้อมูลไม่ให้เป็นปัญหา
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ทุกโรงพยาบาลที่ทำพีฟอร์พีจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นแน่นอน  โรงพยาบาลที่ไม่ทำอาจไม่ได้เพิ่ม แต่ในเชิงนโยบายทุกโรงพยาบาลต้องใช้พีฟอร์พีมาประเมินการจ่ายค่าตอบแทนอยู่แล้ว ในทางปฏิบัติผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจะไปทำความเข้าใจและเดินหน้าพีฟอร์พี  บางจังหวัดเดินหน้าไปแล้วมีประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงจะตามไปดูกระตุ้นให้ดีขึ้น ในส่วนที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีทีมพี่เลี้ยงเข้าไปสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง อย่างไรก็ตามกระทรวงมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ประมาณ 100  แห่ง  รพช.ประมาณ 730  แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบาล (รพ.สต.)เกือบ 1 หมื่นแห่ง ซึ่งจะแตกต่างเรื่องลักษณะงานและค่าตอบแทน ดังนั้นเป็นความยากในการกำหนดกติกาซึ่งจะต้องทำให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข.
Share:

พ่อค้าซิ่งปิกอัพเสยพ่วง 18 ล้อดับสยอง 2 ศพ








พ่อค้าไก่ชำแหละซิ่งปิกอัพหลับในเสยพ่วง 18 ล้อดับสยอง 2 ศพ
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ร.ต.ท.กรชวัล จัทร์ศิริ ร้อยเวร สภ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุรถชนมีคนเสียชีวิตที่ถนนสายชัยนาท-สุพรรณบุรี หมู่ 2 ต.สามชุก ไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร รพ.สามชุก และมูลนิธิเสมอกัน ที่เกิดเหตุริมถนนพบรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าสีบรอนซ์ เงินทะเบียน บพ 5574 สุพรรณบุรี ชนอัดก๊อปปี้กับท้ายรถพ่วง 18 ล้อยี่ห้อฮีโน่ สีเทา ทะเบียน 82-0848 นครสวรรค์ สภาพรถกระบะพังยับเยินภายในรถพบผู้เสียชีวิตติดอยู่ 2 ราย จึงใช้เครื่องมือตัดถ่างช่วยนำออกมาตรวจสอบทราบชื่อนายสมเจตน์  ขาวโต อายุ 32 ปีคนขับ อยู่บ้านเลขที่ 109 หมู่ 1 ต.บ้านสระ อ.สามชุก ส่วนศพผู้หญิงที่นั่งมาด้วยกันยังไม่ทราบชื่อทั้งคู่มีสภาพถูกแรงอัด เศษกระจก และเศษเหล็กบาดเป็นแผลเต็มตัวและใบหน้าเป็นแผลเหวอะหวะที่เกิดเหตุมีซี่โครงไก่ สดจำนวนมากกระจายเกลื่อนถนน เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่เทศบาลสามชุกต้องช่วยกันเก็บทำความสะอาด
 
จากการสอบสวนทราบว่านายสมเจตน์ เป็นพ่อค้าขายไก่ชำแหละก่อนเกิดเหตุได้ขับรถกระบะไปรับซี่โครงไก่ จาก จ.สิงห์บุรี เพื่อนำมาชำแหละขายต่อให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้า ไก่ย่างนำไปย่างขายโดยมี ภรรยาใหม่ซึ่งยังไม่ทราบชื่อนั่งไปด้วยกันขากลับถึงที่เกิดเหตุเป็นทางตรงรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเสียหลักพุ่งชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อที่จอดพักรถอยู่ข้างทางอย่างแรงเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตดังกล่าวส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าคนขับคงง่วงนอนแล้วเกิดหลับในเป็นเหตุให้รถเสียหลักจนเกิดเหตุขึ้นอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนสาเหตุที่แท้จริงเพื่อดำเนินการต่อไป
 
Share:

แฉเจ้าของรถหรูเตรียมส่งออกนอกหนีตรวจสอบ

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)  วันนี้( 7 มิ.ย.) นายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีรถหรูจดประกอบเลี่ยงภาษีว่า  ล่าสุดดีเอสไอได้รับเบาะแสว่า ผู้ครอบครองรถจดประกอบประเภทซุปเปอร์คาร์มีความพยายามในการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ โดยวางแผนนำรถเหล่านี้ออกไปไว้ในประเทศเพื่อนบ้าน  จึงได้ประสานไปยังนายราฆพ  ศรีศุภอรรถ  รองอธิบดีกรมศุลกากร  เพื่อขอให้มีคำสั่งด่วนไปยังด่านศุลกากรตามแนวชายแดนทุกด่านทั่วประเทศ ไม่อนุญาตให้รถกลุ่มดังกล่าวออกนอกประเทศเด็ดขาด  เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงนำรถออกไปซุกซ่อนไว้ในประเทศเพื่อนบ้าน   โดยขณะนี้กรมศุลกากรแจ้งว่ามีคำสั่งไปยังด่านศุลกากรต่าง ๆ แล้ว
นอกจากนี้จากมติที่ประชุมร่วม 6 หน่วย ซึ่งมีการวางแผนว่าจะตรวจสอบเอกสารรถจดประกอบต้องสงสัยเป็นรายคันจำนวน 6,862 คัน ได้กำหนดเรียกกลุ่มแรกคือรถที่มีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านบาทขึ้นไปพบว่ามีจำนวน 145 คัน โดยมีรายชื่อผู้ครอบครองครบถ้วนแล้วภายในวันที่ 10 มิ.ย.จะนำรายชื่อมาพิจารณาร่วมกับรายชื่อที่กรมการขนส่งทางบกจะนำมาประกอบการตรวจสอบเมื่อมีความชัดเจนครบถ้วนจะประกาศรายชื่อให้ผู้ครอบครองรถรับทราบ โดยเชื่อว่าในจำนวนดังกล่าว 80% เป็นรถที่หลบเลี่ยงภาษี  ส่วนที่เหลืออีก 20%  เชื่อว่ามีการเสียภาษีถูกต้อง 
นายธาริต กล่าวอีกว่า  หลังจากนั้นจะดำเนินการต่อเนื่องแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ 1. รถที่ยังอยู่กับผู้ประกอบการ ซึ่งดีเอสไอวางแผนจะเข้าตรวจค้น จับกุม และยึดรถ 2. รถที่อยู่กับผู้ซื้อซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สมัครใจนำเอกสารเข้าตรวจสอบ และ3.ผู้ที่ครอบครองรถที่ยังเพิกเฉย ดีเอสไอจะออกหมายเรียกให้นำรถมาตรวจสอบ  หากยังหลีกเลี่ยงจะนำหมายค้นเข้าตรวจค้นและยึดรถยังเคหะสถาน  หากผลการตรวจสอบพบว่ารถคันใด ชำระภาษีถูกต้องและเป็นรถจดประกอบจริงทั้ง 6 หน่วยงานจะให้การรับรองและยุติเรื่อง  ส่วนรถที่นำเข้าผิดกฎหมายจะมุ่งดำเนินคดีกับผู้ประกอบการเป็นหลักไม่มุ่งเอาผิดกับผู้ครอบครอง  เบื้องต้นอยากแนะนำให้ผู้ครอบครองรถยกรถที่ผิดกฎหมายตกเป็นขอแผ่นดินเพื่อระงับคดี  แต่ยังเปิดช่องทางให้ผู้ซื้อไปฟ้องเรียกเงินคืนจากผู้ประกอบการต่อไป
นายธาริต  กล่าวต่อว่า  ขณะนี้มีผู้ประกอบการรถจดประกอบหลายรายที่มีมูลค่าต่ำกว่า  4 ล้าน เช่น นิสสัน คิวบ์ที่มียอดการนำเข้าสูงมาก ติดต่อแสดงความจำนงขอให้ดีเอสไอตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้อง  ซึ่งดีเอสไอไม่ขัดข้องขอให้นัดวัน เวลานำรถเข้าตรวจสอบต่อไป
Share:

เผยรายชื่อเจ้าของรถหรูเป้าดีเอสไอ


เผยชื่อเจ้าของรถหรูเป้าหมายดีเอสไอเรียกตรวจ พบ 3 ดาราดัง ข้าราชการ พระสงฆ์ เครือญาตินักการเมือง คนมีชี่อเสียงเพียบ พบบุคคลธรรมดาถือครองรถคนเดียวเกือบ 80 คัน

วันนี้( 7 มิ.ย.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เผยรายชื่อ ผู้ครอบครองรถหรูดีเอสไอขึ้นบัญชีเป็นรถต้องสงสัย  จำนวน 6,862 คัน  และเตรียมจะเรียกมาชี้แจงถึงการได้มาขอรถดังกล่าว โดยพบว่า มีทั้งในกลุ่มของนักการเมือง  อดีตนักการเมืองและเครือญาติ  ข้าราชการ  อดีตข้าราชการและเครือญาติ  นักแสดง บุคคลที่มีชื่อเสียง  รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีชื่อครอบครองรถจำนวนหลายคันสูงสุดกว่า 70 คัน  โดยกลุ่มนักแสดงอาทิ  นายปกรณ์  ฉัตรบริรักษ์ หรือ บอย ปกรณ์   เจ้าของนิสสัน  1 คัน  ,  นายชรัส  เฟื่องอารมณ์  เจ้าของเบนซ์ 1  คัน และนายศรันยู  ประชากริช  เจ้าของนิสสัน 1 คัน
กลุ่มข้าราชการ อาทิ   พล.ต.ต.คำรบ  ปัญญาแก้ว  เจ้าของรถแลน โรเวอร์ 1 คัน,ร.ท.ชนเทพ  ม้าประเสริฐ  เจ้าของรถโตโยต้า 1 คัน,พ.ต.ท.ณรงค์เดช  มูลศาสตรสาทร  เจ้าของรถโตโยต้า 1 คัน ,พล.ต.อ.ธวัชชัย  ภัยลี้  เจ้าของรถโตโยต้า  1 คัน ,พล.ต.ต.ธีรพล  คุปตานนท์  เจ้าของรถโตโยต้า 1 คัน ,พลเอกเธียรชัย  โกมารทัต  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน ,พล.ต.ประกาศเกียรติ  หิญชีระนันทน์  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน,พล.อ.ประสงค์  ไชยสิทธิ์  เจ้าของเบนซ์ 1 คัน ,พ.ต.ท.ประสงค์  พันธุ์สวัสดิ์  เจ้าของรถเบนซ์ 1 คัน ,พล.ต.สุรพงศ์  ปราการรัตน์  เจ้าของเบนซ์ 2 คัน
กลุ่มเครือญาตินักการเมืองและบุคคลมีชื่อเสียง อาทิ นายกิจก้อง  กิตติขจร  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน ,นายฐานพัฒน์  วิชัยดิษฐ  เจ้าของเบนซ์  นิสสัน  โตโยต้า รวม 13 คัน ,นายณรงค์  เหล่าธรรมทัศน์  เจ้าของเบนซ์ 1 คัน, นายณัฏฐ์  ไกรฤกษ์  เจ้าของมาสด้า 1 คัน, นางเต็มใจ  ดามาพงศ์  เจ้าของรถมินิคูเปอร์ 1 คัน,นายประเสริฐ  สะสมทรัพย์  เจ้าของรถโตโยต้า 1 คัน ,นายโส  ธนวิสุทธิ์  เจ้าของนิสสัน 1 คัน ,นายกฤต  อมาตยกุล  เจ้าของรถเบนซ์  1 คัน, นายกฤช  ยมาภัย เจ้าของรถโฟล์คซวาเก้น1 คัน, ม.ล.เขมนัดดา  เกษมสันต์ เจ้าของรถมินิ คูเปอร์  โฟล์คซวาเก้น รวม 5 คัน
นายเฉลิมชัย  สมบัติทวีพูน  เจ้าของรถเล็กซัส  มินิคูเปอร์  นิสัสัน  แลนโรเวอร์ รวม 7 คัน , นางชนกสุดา  อมาตยกุล เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน, ร.ต.ชัยพฤกษ์  ดิษยะศริน  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน ,น.ส.ณิศรา  ศุภราทิตย์  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน ,นายทศพล  อิศรางกูร  ณ  อยุธยา  เจ้าของรถเบนซ์ 1 คัน ,นายธนิก  วีระไวทยะ  เจ้าของรถนิสสัน  โฟลค์ซวาเก้น รวม 2 คัน ,ปภาวรินทร์  กุญชร  ณ อยุธยา  เจ้าของรถนิสสัน  โฟลค์ซวาเก้น รวม 3 คัน,นายวิฑูรย์  ชลายนาวิน เจ้าของรถเบนซ์  นิสสัน โตโยต้า รวม 3 คัน,นายสัจจา  อนันตกูล  เจ้าของมิสซูบิชิ  นิสสัน รวม 2 คัน ,นายสันต์  พัธโนทัย  เจ้าของโตโยต้า 1 คัน ,สุธิดา  ตันเจริญ  เจ้าของรถนิสสัน 1 คัน,สุพร  ดนัยตั้งตระกูล  เจ้าของเบนซ์ 1 คัน,นายอนุชา  เทวานฤมิตรกุล  เจ้าของรถโตโยต้า 1คัน ,นางพัชรา  บุรุษพัฒน์  เจ้าของนิสสัน 1 คัน,นายภูผา  เอ่งฉ้วน  เจ้าของนิสสัน 1 คัน
นอกจากนี้ยังมีชื่อ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์คมน์กฤตย์  สุวรรณสุนทร  เจ้าของรถจากัวร์  1 คัน, สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง  สุดประเสิรฐ รวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในจำนวนพบว่ามีหลายรายที่เป็นบุคคลธรรมดาแต่มีชื่อถือครองรถหรูหลายยี่ห้อและมีจำนวนหลายคัน  สูงสุดเกือบ 80 คัน  อาทิ  นายนฤนาท  ควรสวัสดิ์  เจ้าของรถเบนลี่  เฟอร์รารี่  เบนซ์  ปอร์เช่ โฟลค์สวาเก้น รวม 5 คัน , น.ส.นันทพร  พึ่งประยูร  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  ฮฮนด้า  มาสด้า  เบนซ์  นิสสัน  แลนโรเวอร์   ซูบารุ  โฟลค์ซวาเก้น  รวม 58 คัน, นายวรวุฒิ  อัศวโชค  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  เล็กซัส  เบนซ์  มินิ คูเปอร์ นิสสัน โตโยต้า  โฟลค์ซวาเก้น รวม 45 คัน ,นางประไพ  ภิญโญศักดิ์  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  ฮอนด้า  เบนซ์  นิสสัน  ซูบารุ  โตโยต้า  โฟลค์สวาเก้น  รวม 29 คัน,นายปรัชญา  ผลอินหอม  เจ้าของรถบีเอ็มดับบลิว  ฮอนด้า  นิสสัน  โตโยต้า  ปอร์เช  รวม 26 คัน,  นายสมยศ  อวยพร  เจ้าของรถอัลฟ่า โรเมโอ บีเอ็มดับบลิว  ฮอนด้า  จากัวร์  เบนซ์  มินิ คูเปอร์  นิสสัน  แลนโรเวอร์  เปอร์โย  โฟลค์ซวาเก้น รวม 53 คัน ,นายสรายุทธ  ริรัตน์พงษ์  เจ้าขอเบนซ์ 6 คัน
นายพันธุ์วศิน  วิไลแก้ว  เจ้าของรถบีเอ็มดับบลิว  มาสด้า  เบนซ์ นิสสัน  โตโยต้า   โฟลค์ซวาเก้น รวม 76 คัน, น.ส.ตรงใจ  อิสราพานิชย์  เจ้าของรถบีเอ็มดับบลิว  เล็กซัส  เบนซ์  มินิ คูเปอร์  มิซซูบิชิ  นิสสัน  โตโยต้า  โฟลค์ซวาเก้น  รวม 48 คัน ,นายทนุ  จักษุวัชร  เจ้าของรถออสติน  บีเอ็มดับบลิว  ฮอนด้า  มาสด้า  เบนซ์  มิซซูบิชิ  นิสสัน  แลนโรเวอร์  โตโยต้า  โฟลค์ซวาเก้น รวม 40 คัน , นางมาลี  แมมิ่ง  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  มาสด้า  เบนซ์  มินิ คูเปอร์ นิสสัน  เปอร์โย  แลนโรเวอร์  โฟลค์ซวาเก้นรวม 54 คัน
ทั้งนี้ยังพบว่าในจำนวนนี้บุคคลกลุ่มหนึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันต่างมีชื่อถือครองรถหรูจำนวนมาก อาทิ นายทรงยศ  ลาภพาทรัพย์ไพศาล  เจ้าของรถโฟลค์ซวาเก้น  รวม 3 คัน,นายทรงวิทย์  ลาภพาทรัพย์ไพศาล  เจ้าของรถมาสด้า  โฟลค์ซวาเก้น  รวม 2 คัน, นายทรงวุฒิ  ลาภพาทรัพย์ไพศาล  เจ้าของรถมาสด้า  โตโยต้า รวม 3 คัน,นายทรงเกียรติ  ลาภพาทรัพย์ไพศาล  เจ้าของออดี้  นิสสัน แลนโรเวอร์  โตโยต้า  โฟลค์ซวาเก้น รวม 7 คัน ,นางนันทนา  ลักษมีเศรษฐ  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  นิสสัน  แลนโรเวอร์ รวม 3 คัน ,น.ส.อรนัส  ลักษมีเศรษฐ  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  ฮอนด้า  มินิ คูเปอร์  โตโยต้า  ซูบารุ  โฟลค์ซวาเก้น โรสรอยด์ รวม 14 คัน ,น.ส.อรทัย  ลักษมีเศรษฐ เจ้าของรถออดี้  มินิคูเปอร์  นิสสัน  โตโยต้า  โฟลค์ซวาเก้น รวม 8 คัน
น.ส.อิงอร  ลักษมีเศรษฐ์  เจ้าของออดี้  บีเอ็มดับบลิว  นิสสัน  มินิคูเปอร์  โตโยต้า  รวม 7 คัน ,นายพรชัย  ลักษมีเศรษฐ์  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  มินิ คูเปอร์  มาสด้า  ไดฮัทสุ  แลนโรเวอร์  รวม 7 คัน ,นายพุทธิชัย  ลักษมีเศรษฐ เจ้าของเบนซ์  มินิ คูเปอร์ นิสสัน รวม 3 คัน ,  นายมงคล  ลักษมีเศรษฐ  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  มาสด้า  มินิ คูเปอร์  นิสสัน  โตโยต้า  โฟลค์สวาเก้น รวม 10 คัน  และน.ส.มธิตา  ลักษมีเศรษฐ  เจ้าของบีเอ็มดับบลิว  เบนซ์   นิสสัน  มินิ คูเปอร์ มิสซูบิชิ รวม 10 คัน
Share:

บุกเดี่ยวจี้แบงค์กรุงไทยสายฟ้าแลบกวาด1.3แสน











คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนร่มเกล้า อาศัยช่วงพักเที่ยง รปภ.ไปกินข้าว ใช้ปืนจี้บังคับพนักงาน-กวาดเงินไปได้ประมาณ 1.3 แสน ก่อนวิ่งไปขี่รถจยย.หลบหนีไป เผยกล้องวงจรปิดของธนาคารสามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้ เชื่อเป็นมืออาชีพ ใช้เวลาปฏิบัติการแค่ 25 วินาที
เมื่อเวลา 12.45 น.วันนี้ (7 มิ.ย.) ร.ต.ท.ฤทธิไกร ยอมประโคม พนักงานสอบสวน สน.ลาดกระบัง ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ ภายในธนาคารกรุงไทย สาขาถนนร่มเกล้า ตั้งอยู่เลขที่ 123/1 ปากซอยร่มเกล้า 21/3 ถนนร่มเกล้า แขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง กทม.จึงรายงานผู้ยังคับบัญชาก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบช.น. พ.ต.อ.คมสัน แตงจุ้ย ผกก.สน.ลาดกระบัง พ.ต.อ.ภิรมย์ สวนทอง ผกก.สส.บก.น.3 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.ลาดกระบัง เจ้าหน้าที่กก.สส.บก.น.3 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.)
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 2 ชั้น บริเวณชั้นล่างเจ้าหน้าที่พบ น.ส.ปิยนุช พละเยี่ยม อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่แผนกบริการลูกค้า ประจำเคาร์เตอร์ หมายเลข 4 ยืนตื่นตระหนกอยู่ กล่าวว่า โดยก่อนเกิดเหตุพนักงานภายในธนาคามี 3 คน แม่บ้าน 1 คน และมีลูกค้าที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์ของตนที่มาขอแลกเงิน อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลากลางวัน ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ออกไปรับประทานอาหารข้างนอก ซึ่งขณะกำลังนั่งให้บริการลูกค้าอยู่นั้น มีชายทำทีเดินคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าธนาคาร และดูท่าทีมีพิรุธ ต่อมาไม่นานลูกค้ารายนี้ทำธุรกรรมทางธนาคารเสร็จก็ได้เดินออกไป

น.ส.ปิยนุช เล่าอีกว่า จากนั้นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าธนาคาร ซึ่งจดจำรูปพรรณได้เป็นชายรูปร่างท้วม สันทัด อายุประมาณ 30-35 ปี สวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบสีขาว ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีครีม กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินปลายพับขึ้นมา สวมรองเท้าหนัง มีร่องรอยการเปราะเปื้อนดินโคลน สะพายกระเป๋าสีดำ เดินสวนกับลูกค้าแล้วเดินปรี่ตรงเข้ามาหา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อกก่อน แต่ชายหนุ่มคนดังกล่าวกลับแสดงตัวเป็นคนร้ายทันที่ โดยปิดกระจกหมวกกันน็อกเพื่อบดบังหน้าตัวเอง แล้วชักอาวุธปืนแบบออโตเมติก สีดำ ไม่ทราบขนาด ออกมาจากเอว ส่องปากกระบอกปืนแล้วพูดว่าเอาเงินมา ด้วยความตกใจจึงหยิบเงินให้ไป 1 ปึก เป็นเงินจำนวน 120,000 บาท แต่คนร้ายยังไม่พอใจบอกให้ส่งเงินที่เหลือมาให้หมด จึงกวาดเงินในลิ้นชักส่งไปให้อีกจำนวนหนึ่ง รวมเงินที่คนร้ายได้ไปจำนวนทั้งหมด 130,180 บาท คนร้ายเอาเงินใส่กระเป๋าสะพายสีดำ จากนั้นก็วิ่งไปขับขี่รถ จยย.ฮออด้า รุ่นเวฟ สีเขียว จำทะเบียนได้แค่ตัวเลขคือ 432 ที่จอดอยู่ด้านข้างธนาคารหลบหนีไปทางถนนร่มเกล้าขาออก มุ่งหน้าไปทางลาดกระบัง

ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย  เปิดเผยว่า คนร้ายคาดว่าเป็นมืออาชีพ โดยอาศัยช่วงจังหวะโอกาสที่พนักงานธนาคารอยู่น้อยและลูกค้าก็มีน้อย เพราะเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง รปภ.ไปรับประทานข้าว ทำที่มายืนโทรศัพท์ดูลาดเลาแล้วลงมือก่อเหตุอย่างง่ายดาย โดยใช้เวลาเพียง 25 วินาที นอกจากนี้จากการตรวจสอบธนาคารที่เกิดเหตุนี้เพิ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ระบบการรักษาความปลอดภัยยังไม่เข้าที่ ซึ่งการสืบสวนจับกุมคนร้ายคงจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุที่จับภาพคนร้ายไว้ได้ แล้วตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียง และเส้นทางการหลบหนี เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
Share:

ผู้เข้าประกวดมิสเวิลด์ไม่ต้องสวมบิกินี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ว่า กองประกวดมิสเวิลด์ 2013 แถลงว่า การประกวดมิสเวิลด์ประจำปีนี้ซึ่งมีสาวงามจาก 137 ชาติเข้าร่วมประกวดในเดือนก.ย.นี้ที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่จะยกเลิกการให้ผู้เข้าประกวดสวมชุดบิกินี แต่จะเปลี่ยนไปเป็นโสร่งแทนในส่วนของแฟชั่นชุดชายหาด โดยการประกวดจะจัดขึ้นที่เกาะบาหลี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอินโดนีเซีย มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไปพักผ่อนและอาบแดดที่นี่จนเป็นเรื่องปกติ
แต่นางจูเลีย มอร์เลย์ ประธานกองประกวดมิสเวิลด์ กล่าวว่า สาวงามผู้เข้าประกวดไม่ต้องสวมชุดบิกินี เธอไม่อยากทำให้ใครผิดหวังในสถานการณ์เช่นนี้ เธอเคารพทุกประเทศที่เข้าร่วมประกวด แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดสำหรับชุดของสาวงามที่เข้าร่วมประกวด
เมื่อปีที่แล้ว ป๊อปสตาร์ชื่อดัง “เลดี้ กากา” ต้องเลื่อนการแสดงคอนเสิร์ตในประเทศอินโดนีเซียออกไปเพราะกลุ่มเคร่งศาสนาขู่ว่าจะเผาสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตและวิพากษ์วิจารณ์ที่เธอสวมใส่ระหว่างการแสดงมีแต่เพียงเสื้อและชุดชั้นในเท่านั้น
Share:

ปปง.เตรียมอายัดทรัพย์สินตัวการแคลิฟอร์เนีย ว้าว





ปปง.เตรียมอายัดทรัพย์สินตัวการแคลอฟอร์เนีย ว้าว ตรวจสอบพบนางแบบไทยชื่อดังกับเศรษฐีแคนาดาถ่ายเทโอนเงินไปต่างประเทศ
วันนี้( 7 มิ.ย.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ร.ต.อ.สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. แถลงข่าวผลการตรวจสอบบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนท์ จำกัด (มหาชน) หลังปิดการให้บริการฟิตเนสแคลิฟอร์เนีย ว้าว ทุกสาขาทำให้มีสมาชิกฟิตเนสฯ ที่ได้จ่ายค่าสมาชิกล่วงหน้าได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ เบื้องต้นพบความผิดเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เตรียมอายัดทรัพย์สินพร้อมประสานกองบังคับการปราบกรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(ปคบ.) ดำเนินคดี
พ.ต.อ.สีหนาท  กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากมีประชาชนผู้ใช้บริการของสถานออกกำลังกายแคลิฟอร์เนีย ว้าว กว่า 1,000 คน ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่บริษัทฯ ปิดการให้บริการฟิตเนส แคลิฟอร์เนีย ว้าว เกือบทุกสาขา โดยไม่แจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า ดังนั้นกลุ่มประชาชนที่เป็นสมาชิกผู้ใช้บริการจึงได้เข้าร้องเรียนต่อนายตวง อันทะไชย ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอความช่วยเหลือ ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2556คณะกรรมาธิการฯ ได้จัดประชุมเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยมีผู้แทนจาก 7 หน่วยงานและผู้แทนของ ปปง.เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา
จากการประสานข้อมูลกันเบื้องต้น ปปง.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทำของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว  เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หลังการสอบสวนพบว่าบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว ไม่ได้มีเจตนาทำธุรกิจให้บริหารฟิตเนสตั้งแต่ต้น แต่ได้ประกอบกิจการโดยการวางแผนอย่างชาญฉลาด เพื่อระดมเงินจากตลาดหลักทรัพย์และจากสมาชิกที่ใช้บริการของฟิตเนสแคลิฟอร์เนีย ว้าว จากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว พบว่าปริมาณธุรกรรมที่มีการทำมาแต่ละปี มีรายได้เข้ามาจำนวนมากมาย แต่รายได้ที่เข้ามาในบริษัทไม่ได้มีการนำรายได้มาใช้ในการประกอบการ แต่กลับนำเงินรายได้ที่ได้มาส่งโอนออกไปต่างประเทศ
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนพบว่า บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว มีการโอนเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการทำธุรกรรมรายปีตั้งแต่ปี2545 – 2556 บางช่วงเวลามีการทำธุรกรรมจำนวนสูงกว่า 400ล้านบาท เมื่อพิจารณาในภาพรวมพบว่ามีธุรกรรมหมุนเวียนในช่วง 10 ปีมานี้ กว่า 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินในแต่ละช่วงเวลา พบว่ามูลค่าสูงสุดของการทำธุรกรรมเกิดขึ้นในช่วง 3 ปี คือ 2552 – 2554 โดยร้อยละ 99 เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบSWIFT คือ การโอนเงินออกไปต่างประเทศกว่า 1,699 ล้านบาท อาจกล่าวได้ว่าธุรกรรมของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เกือบทั้งหมดเป็นการโอนเงินออกไปยังต่างประเทศ
 ขณะเดียวกันบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว ได้มีการระดมเงินทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยตั้งเป็นบริษัทมหาชน พร้อมจัดให้มีการซื้อขายหุ้น เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2548 จนกระทั่งปี 2554 ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย “SP” หรือการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ แต่ขณะที่มีการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ แต่กลับพบว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2554 มีเงินไหลออกจากบริษัทสูงกว่า 400 ล้านบาท และปี2553 เกือบ 500 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าบริษัทมีความตั้งใจที่จะประกอบกิจการจริง โดยผู้เกี่ยวข้องระดับดำเนินการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวน 10ราย ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ เริ่มมีโอนเงินที่ได้จากกิจการออกไปตั้งแต่ปี 2555เรื่อยมา แม้ว่าในช่วงต้นของการประกอบกิจการ ธุรกิจยังประสบภาวะขาดทุนก็ตาม แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารของแคลิฟอร์เนีย ว้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องส่อเจตนาที่จะฉ้อโกงลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ปปง.จะติดตามอายัดเงินของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว แม้ว่าจะมีการโอนไปต่างประเทศทั้งหมดแล้ว โดยทราบประเทศปลายทางที่มีการโอนเงินไปแล้ว โดยบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ได้ปิดสาขาฟิตเนส ทุกแห่งพร้อมมีสถานะเป็นบริษัทล้มละลาย พร้อมจะประสาน บก.ปคบ.เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน และจะสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ปล่อยให้บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว สร้างความเสียหายให้ผู้ลงทุนได้อย่างไร เพราะมีการแต่งบัญชีเป็นเท็จ
มีรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าวฯ มีนายเอริค เลอวีน ชาวแคนาดา อายุ 55 ปี ประธานกรรมการบริหารฯ เป็นสามีของ จอย วราลักษณ์ วาณิชย์กุล อายุ 40 ปี นางแบบแนวหน้าของเมืองไทย โดยทั้งคู่สร้างความฮือฮา จัดพิธีหมั่นในโรงแรมหรูสุดอลังการ เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2554 โดยมีสินสอดทองหมั้นเป็นเพชรหนัก24 กะรัต มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ส่วนงานแต่งงาน ทั้งคู่ได้วางแพลนบินลัดฟ้าไปแต่งยังแดนภารตะอินเดีย ที่เมืองริชิเกช รัฐอุตตราขัณฑ์ ตามประเพณีโบราณ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ปีเดียวกัน ก่อนจะจัดงานฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมสุดหรูบนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่ง ปปง.เตรียมเข้าตรวจสอบทรัพย์สินพร้อมอายัดมหาเศรษฐีชาวแคนาดาพร้อมพวกต่อไป หลังสืบทราบว่าจะมีการไปเปิดฟิสเนิสแคลิฟอร์เนีย ว้าว ในประเทศอาเซี่ยนอีก
Share:

ประธานาธิบดีปูตินประกาศหย่าเมีย

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และไลอุดมิลา ชเครบเนวา ภริยา จูงมือกันมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ว่า ชีวิตคู่ของทั้ง 2 คน ปิดฉากลงแล้ว โดยทั้งสอง ซึ่งแต่งงานอยู่กินกันมานาน 30 ปี ประกาศหย่าขาดจากกันผ่านทางสถานีโทรทัศน์รัสเซีย หลังจากเข้าร่วมชมการแสดงบัลเล่ต์ที่ทำเนียบเครมลินด้วยกัน ซึ่งปูตินบอกเป็นการตัดสินใจร่วมกัน นับต่อแต่นี้ไป แต่ละคนก็จะใช้ชีวิตของตัวเอง

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินแทบจะไม่ได้ปรากฎตัวต่อสาธารณะชนในช่วงหลายเดือนมานี้ ซึ่งทำเกิดมีกระแสการคาดการณ์มากมายในสื่อรัสเซีย ขณะที่ นางไลอุดมิลา ชเครบเนวา ผู้คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเธอไม่ค่อยนิยมออกสื่อ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า การหย่าร้างครั้งนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับตัวเธอ ส่วนผู้นำรัสเซีย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ทั้ง 2 คนไม่ได้ในชีวิตอยู่ร่วมกันนานแล้ว

ประธานาธิบดีปูติน และนางไลอุดมิลา ชเครบเนวา แต่งงานกันเมื่อปี 2526 มีลูกสาว 2 คน คือมาเรีย และเยกาเตรินา ซึ่งอายุ 20 ปีทั้งคู่ ซึ่งนายปูตินกล่าวว่า ลูกโตกันหมดแล้ว และก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง
ประธานาธิบดีปูติน และภริยา ถูกพบออกมาร่วมกันครั้งสุดท้ายในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ของปูติน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2555
 
Share:

เจ้าชายซาอุฯฟ้อง “ฟอร์บส์” จัดอันดับพระองค์รวยน้อยเกินจริง

วันนี้ ( 7 มิ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่า เจ้าชายแห่งซาอุดิอาระเบียประกาศฟ้องนิตยสาร “ฟอร์บส์” ฐานประเมินมูลค่าทรัพย์สินของพระองค์ต่ำกว่าความเป็นจริง ถือเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้พระนามของพระองค์หลุดออกจากรายชื่อ 10 อันดับแรกของผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปีนี้

เจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลาล แห่งราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย พระชันษา 58 ปี ทรงมีพระดำรัสว่า นิตยสารธุรกิจชื่อดังของสหรัฐประเมินมูลค่าทรัพย์สินของพระองค์คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2.94 แสนล้านบาท ) ทำให้ปริมาณทรัพย์สินของพระองค์ตามรายงานของฟอร์บส์ อยู่ที่ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 6.14 แสนล้านบาท ) จัดอยู่ในอันดับที่ 26

พระองค์ทรงยอมรับว่า รู้สึกขุ่นเคืองพระทัยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมาก เนื่องจากหากกองบรรณาธิการของฟอร์บส์ทำงานด้วยความเที่ยงตรงและยุติธรรมกว่านี้ พระองค์จะทรงอยู่ในรายชื่อ 10 อันดับแรก ด้วยปริมาณทรัพย์สินกว่า 29,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 9.08 แสนล้านบาท ) จึงทรงมีรับสั่งให้ทนายความส่วนพระองค์ไปยื่นเอกสารฟ้องร้องนายแรนดัล เลน บรรณาธิการของฟอร์บส์ และผู้สื่อข่าวของนิตยสารอีก 2 คน ต่อศาลในอังกฤษ ฐานเจตนาทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียง

ด้านตัวแทนของฟอร์บส์ออกมาแสดงความประหลาดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แสดงความคิดเห็นว่า เจ้าชายอัลวาลีดทรงต้องการเป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากศาลอังกฤษได้ชื่อว่า มักเอื้อประโยชน์ให้แก่โจทก์คดีหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ฟอร์บส์จะไม่เปลี่ยนแปลงข้อมูลที่มีอยู่

ทั้งนี้ ผู้ที่มีชื่ออยู่ในอันดับ 1 ของฟอร์บส์ คือนายคาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีนักธุรกิจจากเม็กซิโก ครอบครองทรัพย์สินมูลค่ากว่า 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2.41 ล้านล้านบาท )
Share:

ฝนตกหนักในออสเตรีย ทำให้ดินถล่มสูญหาย 2 คน



เกิดเหตุดินถล่ม หลังฝนตกหนักในออสเตรีย ทำให้มีผู้สูญหายไป 2 คน ขณะที่ ทางการต้องรีบอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เปิดเผยว่า มีประชาชน 2 คนสูญหายในออสเตรียเมื่อวันอาทิตย์ หลังจากเกิดเหตุดินถล่ม อันเนื่องมาจากฝนตกหนัก ซึ่งทำให้ต้องอพยพประชาชนบ้านเรือนอย่างน้อย 200 คน โดยถนนหลายสายถูกปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันตกและภาคเหนือของประเทศ นอกจากนี้ การให้บริการรถไฟก็ได้รับผลกระทบ หลังจากฝนตกหนักหลายวัน ซึ่งทำให้หลายพื้นที่ของประเทศ ได้รับคำเตือนให้ระวังน้ำท่วม
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและสำนักงานป้องกันภัยฉุกเฉิน รวมทั้งกองทัพออสเตรีย หลายร้อยคน ถูกระดมกำลังเข้าเคลียร์พื้นถนน ช่วยกันอพยพประชาชน และตั้งแผงกั้นป้องกันน้ำท่วม ส่วนเทศกาลดนตรีกลางแจ้ง และการจัดงานสำคัญอื่น ๆ ก็มีอันต้องย้ายสถานที่จัด หรือไม่ก็ต้องยกเลิกไป เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย
 
Share:

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blog Archive

Followers

Blog Archive