วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
สุดสลดพ่อถอยรถเก๋งทับลูกวัยขวบเศษดับอนาถ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (17 พ.ย.) ร.ต.ต.ธัชกร นารานันทญา ร้อยเวร สภ.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งจาก รพ.แหลมฉบังอินเตอร์ เนชั่นแนล ว่ามีผู้เด็กหญิงได้รับอุบัติเหตุ อาการสาหัสถูกนำตัวมาส่งโรงพยาบาล แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา อยู่ในสภาพคอหัก เลือดไหลออกมาจากทางปาก จมูก และรูหู จึงเดินทางไปตรวจสอบพบศพด.ญ.พิชชาภัทธ ลิ้มเบญจทรัพย์ หรือน้องยูริ วัย 1 ปี 5 เดือน โดยมีนายมนตรี ลิ้มเบญจทรัพย์ อายุ 37 ปี และนางรุ่งรัตน์ ลิ้มเบญจทรัพย์ อายุ 35 ปี พ่อและแม่ของน้องยูริ ร้องไห้กอดศพลูกปริ่มแทบจะขาดใจตาม
จากการสอบสวนนายมนตรีให้การทั้งน้ำตาว่า ก่อนเกิดเหตุตนกับภรรยาจะพาน้องยูริไปเที่ยวทะเลที่ จ.ระยอง ขณะที่ภรรยากำลังเก็บของอยู่ในบ้าน ตนได้ออกมาติดเครื่องพร้อมกับถอยรถเก๋งเพื่อหันหน้าออกถนนใหญ่ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเหมือนล้อรถทับอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้เอะใจสงสัยจนมองเห็นหยดเลือดบนพื้น เลยรีบลงมาดูใต้ท้องรถ วินาทีนั้นหัวใจตนแทบหยุดเต้นเมื่อมองเห็นร่างลูกสาวตัวน้อย นอนจมกองเลือดอยู่ใต้ท้องรถ ตนเลยรีบดึงลูกออกมาก่อนรีบนำส่ง รพ.แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ตนไม่คิดว่าลูกสาวจะมายืนอยู่หลังรถ เพราะตนมองแล้วไม่เห็นตัวลูกสาว เพราะน้องยูริยังตัวเล็ก เลยทำให้ถอยรถทับลูกจนเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาขับรถประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตไว้ก่อน.
แฉคลิปนักโทษแหกคุกสามโคกลวดไฟฟ้าดูดตายอนาถ
แฉคลิปเห็นจะจะวินาที 3 นักโทษแหกคุกสามโคก ปีนกำแพงฝ่าข้ามลวดหนามสำเร็จ 2 ตามจับได้ 1 อีก 1 คอปเตอร์ล่าระทึก ส่วนคนสุดท้ายสุดท้ายเคราะห์ร้ายพลาดโดนลวดไฟฟ้าดูดตายห้อยคากำแพงสุดสยอง
วันนี้ (17 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายที่ผ่าน นช.สุริยา ฉิมพลี อายุ 30 ปี นช.เดชา ฉิมพลี อายุ 29 ปี สองพี่น้องที่ถูกจับในคดีร่วมกันชิงทรัพย์ ท้องที่ สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา และ นช.สมพร แสงรี อายุ 27 ปี ที่ถูกจับในความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ในท้องที่ สภ.ปากคลองรังสิต ได้ร่วมกันปีนกำแพงเรือนจำสามโคกหลบหนี ขณะที่ผู้คุมกำลังทยอยนำผู้ต้องขังเข้าเรือนนอน เนื่องจากมีผู้ต้องขังรายหนึ่งป่วยเสียชีวิตกะทันหัน โดยทั้ง 3 ได้ใช้เศษผ้าผูกเป็นเชือกปีนกำแพงในแดน 5 ด้านใกล้บ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งกล้องวงจรปิดของเรือนจำสามารถจับภาพได้ตลอด โดยทั้ง 3 ปีนอย่างรีบเร่ง จน นช.สุริยา กับ นช.เดชา สามารถทำสำเร็จ แต่ นช.สมพร กลับเคราะห์ร้ายรีบปีนจนพลาดถูกกระแสไฟฟ้าจากขดลวดหนามหีบเพลงที่ขึงอยู่บนขอบกำแพงดูดเสียชีวิตห้วยโตงเตงเป็นที่น่าสยดสยอง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุม นช.เดชา ได้ขณะแอบซ่อนอยู่ในป่ากก เพราะอาการเจ็บหลังจากการกระโดดลงมาจากขอบกำแพงที่อยู่สูงกว่า 5 เมตร.
บึ้มรถไฟสายยะลา-สุไหงฯ ตกรางเจ็บตายเพียบ
ลอบวางบึ้มขบวนรถไฟสายยะลามุ่งหน้าสุไหงโก-ลก ตกราง อาสาชุดคุ้มกันความปลอดภัยพลีชีพ 1 เจ็บเพียบ สั่งหลุดเดินรถทันที
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 18 พ.ย. เจ้าหน้าที่ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเกิดระเบิดใกล้สถานีรถไฟบูกิ๊ต อ.รือเสาะ จึงรีบนำกำลังผู้เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถไฟขบวนท้องถิ่นวิ่งระหว่าง ยะลา-สุไหงโก-ลก ที่อยู่ในรางฝั่งขาล่องไปสุไหงโก-ลก จอดตกรางอยู่ โดยโบกี้ท้ายขบวนที่มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครชุดคุ้มกันรักษาความปลอดภัยได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอนุภาพของแรงระเบิดมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 8 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย จึงรีบลำเลียงส่ง รพ.รือเสาะ เบื้องต้นคาดเป็นฝีมือผู้ก่อเหตุรุนแรงลอบฝังระเบิดไว้ใต้รางรถไฟหวังสังหารเจ้าหน้าที่ ทำให้การรถไฟต้องประกาศปิดการเดินรถในช่วงดังกล่าว ส่วนความคืบหน้าผู้สื่อข่าวจะจะรายงานให้ทราบต่อไป.
จับ 3 โจ๋ตั้งแก๊งลักรถจักรยานยนต์กว่า 100 คัน
ตร.นครบาลตามจับแก๊งเด็กแว้น 3 ราย ตระเวนโจรกรรมรถจักรยานยนต์ไปขายต่อ เผยพฤติกรรมโจ๋แสบ 1 ในสมาชิกร่วมแก๊งเพิ่งพ้นโทษข้อหาลักรถจักรยานยนต์มา 4 เดือน แต่ยังไม่เข็ดหลาบ ใช้วิชาโจรย้อนกลับมาทำอาชีพเดิมอีก
วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ สน.ลาดพร้าว พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น. 4 พ.ต.อ.สาโรช ซุ่นทรัพย์ พ.ต.อ.วัชรพงศ์ ดำรงศรี รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ พรหมสวัสดิ์ ผกก.สน.ลาดพร้าว พ.ต.ต.ธานี จิตรธรรม สว.สส.สน.ลาดพร้าว ร่วมกันแถลงผลการจับกุม แก๊งโจรกรรมรถจักรยานยนต์ เป็นเยาวชน จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายกบ นายนัท นายโด่ง (นามสมมติทั้งหมด) ทั้งสามคนอายุ 15 ปี พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงิน ทะเบียน พบข 474 กรุงเทพมหานคร , รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีดำ ทะเบียน ขขธ 630 นครสวรรค์ , รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีดำ ทะเบียน กวพ 28 สุรินทร์ , รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีเทา ทะเบียน รศษ 886 กรุงเทพมหานคร และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า สีดำ ทะเบียน ยกบ 436 กรุงเทพมหานคร โดยจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามมาจากบริเวณห้างแห่งหนึ่ง บริเวณถนนแฮปปี้แลนด์สาย 2 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมามีผู้เสียหายเดินทางเข้ามาแจ้งความที่ สน.บึงกุ่ม ว่า ถูกคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงิน ทะเบียน พบข 474 กรุงเทพมหานคร ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบมาว่ากลุ่มผู้ต้องหาแอบเอารถที่ขโมยมาจากจุดต่าง ๆ ไปซุกซ่อนที่บริเวณห้างดังกล่าว จึงไปซุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ เมื่อผู้ต้องหาปรากฏตัวก็จับกุมไว้ได้พร้อมรถของกลาง จากนั้นจึงพาไปตรวจค้นขยายผลที่หมู่บ้านร่วมใจ ซอย 20 มิถุนา แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. และพบรถจักรยานยนต์ อีก 4 คัน จึงยึดไว้ตรวจสอบ นอกจากนี้ยังได้ขยายผลติดตามจับกุมนายนัทและนายโด่ง ในเวลาต่อมา
ด้านนายกบ ให้การหารับสารภาพว่า ตนเองพร้อมพวกไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว จึงออกมาตระเวนลักรถจักรยานยนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่ได้เลือก เมื่อเจอรถเป้าหมายก็จะเข้าไปทำการปลดล็อคคอรถ และต่อสายไฟตรงเพื่อสตาร์ท จากนั้นก็นำรถไปแต่งและออกไปขับซิ่งบนท้องถนน ถ้าหากรถที่ตนเองขับขี่เกิดยางแตกหรือเสียขึ้นมาก็จะทิ้งรถทันทีและจะร่วมกับพวกไปขโมยมาใหม่
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำรับสารภาพของนายกบแต่อย่างใด เนื่องจากรถจักรยานยนต์ที่ถูกนายกบพร้อมพวกขโมยไปในพื้นที่มีเป็นจำนวนมากกว่า 100 คัน จึงเชื่อว่าน่าจะนำรถจักรยานยนต์ที่ขโมยมาไปขายตามแหล่งรับซื้อต่าง ๆ ซึ่งจะได้สืบสวนติดตามต่อไป และจากการตรวจสอบประวัตินายกบยังพบว่าเคยติดคุกในคดีลักรถจักรยานยนต์มาแล้ว 1 ครั้ง และเพิ่งพ้นโทษมาได้ 4 เดือน แต่ยังไม่เข็ดหลาบ จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร พร้อมนำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
สวมแหวนเพชร 10ล้าน "เจ้าสัวบุญชัย" ตีตราจอง "ตั๊ก-บงกช"
เจ้าสัวบุญชัย ตีตราจอง "ตั๊ก บงกช" หอบสินสอดและแหวนเพชร เข้าพิธีหมั้นนางเอกทรงเสน่ห์ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ ศิลปินนักแสดง ญาติสนิทและสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยานแน่น
ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีหมั้นของคู่รักต่างวัยระหว่างเจ้าสัวหมื่นล้าน นายบุญชัย เบญจรงคกุล หรือ พี่ใหญ่ อายุ 58 ปี และนางเอกสาว ตั๊ก-บงกช คงมาลัย อายุ 28 ปี โดยมี รศ.ทญ.พอใจ เรืองศรี และ นายอเนก เรืองศรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของนายบุญชัย เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชาย และ แม่เล็ก-นาง ธนาภา ชีพนุรัตน์ แม่ของตั๊ก และ นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ็ด คาราบาว ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของตั๊ก เป็นญาติฝ่ายหญิง พร้อมกันนี้มีผู้แทนพระองค์ได้นำดอกไม้ประทานจากพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า สิริภาจุฑาภรณ์ นำมามอบให้กับทั้งคู่
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้สินสอดทองหมั้นอย่างอื่น นอกจากแหวน 3 กะรัต อยู่ในกล่องสีชมพู วางไว้บนพานดอกไม้เพียงอย่างเดียว โดยมี นายมนัสวิน นันทเสน,ติ๊ก ชีโร่ และ ดู๋-สัญญา คุณากร รับหน้าที่พิธีกร นอกจากนี้ยังแขกผู้ใหญ่ของทั้งคู่มาร่วมงานประมาณ 200 คน ได้แก่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ,หม่อมน้อย-มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล,ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล,วินัย พันธุรักษ์,ยอดชาย เมฆสุวรรณ,นางเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธาน บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล,อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม,พลอย-เฌอมาลย์ บุญศักดิ์,วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา,อ้วน รีเทิร์น,ปื๊ด-ธนิตย์ จิตนุกูล และ โบวี่-อัฐมา ชีวนิชพันธุ์ มาร่วมงานด้วย
เมื่อถึงเวลาประมาณ 9.30 น. ตั๊กเดินจูงมือนายบุญชัยลงมายังบริเวณที่จัดงาน ตั๊กอยู่ในชุดไทยจักรี ท่อนบนเป็นผ้าสไบยาวสีชมพู-ทอง ปักด้วยลูกไม้สีขาวของแบรนด์ดัง “ชาแนล” ชุบทองคำแท้ ส่วนผ้านุ่งเป็นผ้าไหมยกทอลำพูนสีชมพู-เขียว ชายผ้าปักดิ้นเป็นลายไทย ฝีมือของ โจ้ เซอร์เฟส พร้อมกันนี้ยังมีติดผมด้านหลังทำจาก เงินชุบทองคำแท้ ลายดอกไม้ต่างประเทศบนลายกนก มูลค่าประมาณ 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังสวมสร้อยคอ,กำไลข้อมือ,ต่างหู และ ที่รัดต้นแขน ทำจากทองคำแท้โบราณประดับเพชรซีก และ หัวเข็มขัดฝังด้วยพลอยนพรัตน์ 9 สี ของ พีรมณฑ์ ชมธวัช จาก คณะละครอาภรณ์งาม เมื่อถึงเวลาประมาณ 9.49 น. เป็นฤกษ์สวมแหวนหมั้น โดยยึดตามนาฬิกาของนายบุญชัย ซึ่งฝ่ายชายบรรจงสวมแหวนหมั้นเพชรน้ำหนัก 3 กะรัตเกรด ดี คัลเลอร์ มูลค่า 10 ล้านบาท ลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของตั๊ก
หลัง จากนั้นตั๊กกราบว่าที่เจ้าบ่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกันนี้ว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวหันไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของแต่ละฝ่าย เป็นอันเสร็จพิธี ก่อนจะให้แขกขึ้นไปถ่ายรูปร่วมกันบนเวที สำหรับของชำร่วยนั้นประกอบด้วย น้ำพริกแม่เล็ก และ สมุดโน้ตเป็นรูปจานสี หน้าปกเป็นรูปที่เจ้าสัวหอมแก้มตั๊ก รูปเดียวกับการ์ดงานหมั้น ด้านหลังมีกลอนแต่งโดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ความว่า “เลิฟ คือรัก ประจักษ์จริง รักแท้คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตั๊กบงกช ดอกบัว หัวใจ บุญชัย-บงกช จรดใจรักนิรันดร์ ซึ่งทั้งหมดบรรจุอยู่ในถุงกำมะหยี่ สีน้ำเงิน ปักอักษรภาษาอังกฤษ ทีบี ย่อมาจาก ตั๊ก-บุญชัย
จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 10.45 น. ตั๊กและนายบุญชัยได้ลงมาแถลงข่าวอีกครั้ง โดยตั๊กเปลี่ยนชุดเป็นชุดไทยผ้าสีแดง ของ ปลา ฟินาเล่ พร้อมทั้งใส่สร้อยคอ,ต่างหู,กำไลข้อมือ ลักษณะเป็นอุบะทองคำเก่าของรุ่นพี่ในวงการ อ้วน รีเทิร์น ซึ่งตั๊ก เปิดผยว่า "วัน นี้ตั๊กก็ดีใจมาก มีความสุขได้เจอครอบครัวพี่น้องที่สุพรรณบุรี เห็นทุกคนมีความสุขตั๊กก็ดีใจ ถามว่าตอนสวมแหวนรู้สึกไงบ้าง ตั๊กจำไม่ได้แล้ว ตื่นเต้นจนลืม แหวนสวย ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นแหวนเลย เพิ่งจะได้เห็นวันนี้ ก็ไม่รู้จะกล้าใส่ในชีวิตประจำวันรึเปล่า เพราะมันใหญ่มาก" จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามต่อไปว่า นอกจากแหวนหมั้นแล้วมี สินสอดอย่างอื่นอีกหรือไม่ นางเอกสาว กล่าวว่า "ก็มีหัวใจของพี่ใหญ่ค่ะ มีหัวใจของเรา 2 คน” จากนั้นตั๊กหันไปถามนายบุญชัยว่า มีหัวใจไหมเอ่ย นายบุญชัยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มี”
ว่า ที่เจ้าสาว กล่าวต่อไปถึงแผนแต่งงานว่า ตนก็จะใช้เวลาดูพี่เขาว่าพี่เขาเป็นยังไง ก็ให้เวลากันทั้งคู่ แล้วถึงวันที่เรามั่นใจกันทั้งคู่แล้วเราอยากจะอยู่ด้วยกันในแบบสามีภรรยา แล้ววันนั้นก็ค่อยแต่ง ถามว่าได้มีโอกาสฝากเนื้อฝากตัวกับพี่เขาหรือยัง ก็ยังเลยค่ะ จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามถึงเรื่องมูลค่าชุดที่ใส่แหวนหมั้นว่าราคาถึง 1ล้านบาทและค่าทำผมทรง “บุญบงกช” ราคาถึง 5 แสนอย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ ตั๊ก กล่าวว่า “ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้เป็นคนจ่าย แต่จริง ๆ แล้วพี่ ๆ ที่รู้จักกันก็มาช่วยตั๊กมากกว่า อย่างหน้าและผม พี่ ๆ ก็ทำให้เป็นของขวัญ ชุดสีแดงที่ใส่อยู่นี้ พี่ปลา ฟินาเล่ เป็นคนทำให้ ส่วนชุดสวมแหวนหมั้นของพี่โจ้ เซอร์เฟส พี่ใหญ่เป็นคนจ่าย
สำหรับเรื่องที่อายุแตกต่างกันมาก ถามว่าจะมีปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยหรือไม่ ตั๊ก ไม่อยากจะมีปัญหาอะไรกับพี่เขา เรามีอะไรก็ควรจะเปิดเผยและให้เกียติกัน ไม่อยากจะแต่งงานแล้วไปเจออะไรที่ไม่เห็นตอนก่อนแต่งงานเลย อยากเป็นอะไรก็เป็น เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด เขาเป็นเขา เป็นมนุษย์ มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกอ่อนไหว เป็นผู้ชายที่โรแมนติกมาก สำหรับแพลนหลังหมั้น ก็ไม่มีอะไร ตนก็ยังอยู่บ้านของตนเหมือนเดิม
ต่อ ข้อถามที่ว่า ผู้แทนพระองค์ได้นำดอกไม้ประทานจากพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ นำมามอบให้กับทั้งคู่ รู้สึกอย่างไรบ้าง ตั๊ก กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียติกับวงศ์ตระกูลมาก ปลาบปลื้มใจ" นายบุญชัย เสริมว่า "เป็นพระมหากรุณาธิคุณครับ" ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ลุงแอ๊ด คาราบาว อวยพรอะไรบ้าง ตั๊ก กล่าวว่า “ก็บอกว่าขอให้โชคดี มีความสุขมาก ๆ บอกให้โชคดี มีความสุขมาก ๆ ถามว่าอะไรทำให้เรามั่นใจในตัวพี่ใหญ่ถึงได้ตัดสินใจหมั้นกันทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะคบกันได้ไม่นาน ตั๊กเห็นว่าพี่ใหญ่เป็นคนนั่งสมาธิ เราคุยกันรู้เรื่อง ชวนไปวัดเขาก็ไป บางทีเขาก็ซื้อภาพมาให้ที่บ้านอีก แม่ตั๊กก็จะถามว่าซื้อภาพมาทำไม บ้านเราไม่ได้รวยมากมาย บางคนก็มองว่าภาพมันไม่มีประโยชน์อะไร แต่เรารู้สึกว่าภาพมันมีความหมาย เรานั่งมองกันได้เป็นวัน ๆ กันสองคน เขาก็นั่งอยู่กับตั๊กได้เป็นวันๆเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลยเนอะ เรามีอะไรเหมือนกัน ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ถามว่าพี่ใหญ่โรแมนติกอย่างไร คือตั๊กพาเขาไปล้างจานที่วัดเขาก็ไป นั่งล้างจานไป ตั๊กรู้สึกว่าโรแมนติกดีเนอะ เหงื่อออกเขาก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้ วาดภาพเราเวลาที่อยู่ด้วยกัน ให้ตั๊กโพสต์ท่าเขาก็นั่งวาด เขาชอบที่ผลงานของตั๊ก เขาเห็นคุณค่าในภาพยนตร์ที่ตั๊กเล่นไม่ได้เห็นแค่เลิฟซีนเยอะหรืออะไรก็ตาม เขาสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงชอบ เลยรู้ว่าเขาเห็นคุณค่าของเรา"
ด้านว่าที่เจ้าบ่าว นายบุญชัย กล่าวว่า “เป็นวันที่มีความสุข ญาติผู้ใหญ่ฝั่งตั๊กและผมได้มาเจอกัน ฝั่งผมก็มีลูก ๆ ทั้ง 3คน และหลานๆ พร้อมญาติผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตาผมมาตลอด30กว่า ปีที่ผ่านมามาร่วมแสดงความยินดี งานนี้ไม่มีเถ้าแก่นะ มีคุณแม่เล็กนี่แหละเป็นเถ้าแก่ให้ผม สำหรับเรื่องสินสอดที่หลายคนจับตามองนั้น เป็นแหวนเพชร 3 กะรัต แม่เล็กบอกให้มีแหวนหมั้นมาก็พอ ต้องชี้แจงนิดหนึ่งว่านี่เป็นงานหมั้น ส่วนใหญ่เราจะเห็นงานที่เป็นงานหมั้นและแต่งวันเดียวกัน ความที่เราเป็นคนที่เป็นที่รู้จักเหมือนกัน วัยเราก็ต่างกันการที่เราจะคบหาดูใจก็อยากให้เป็นที่ประจักษ์ว่าเราคบหากัน จริง ๆ เลยจัดงานหมั้นขึ้นมา เดิมทีก็คิดว่าจะทำแค่ในระหว่างญาติๆเท่านั้น แต่ก็กลายมาเป็นใหญ่โต"
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า มีสัญญาอะไรให้กันหรือไม่ เจ้าสัวหมื่นล้าน กล่าวว่า "ไม่ มีสัญญาอะไรให้ ตื่นเต้น ในชีวิตคนเรางานแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอสื่อเยอะขนาดนี้ ก็ไม่มีอะไรมากมาย เราให้รอยยิ้มและความเข้าใจ พยายามศึกษาชีวิตของกันและกัน ถามว่าจะแต่งเมื่อไหร่ ก็คงปีหน้า ส่วนเรื่องเรือนหอนั้น ผมให้ทางสถาปนิกไปดูที่ดินเพื่อวัดขนาดต่าง ๆ และคุยกันเรียบร้อยแล้ว มันไม่จำเป็นว่าเราสร้างเสร็จแล้วจะแต่งนะ ถ้าเราพร้อมจะใช้ชีวิตคู่กันเมื่อไหร่ก็คงได้ แต่ก็คงเร่งให้สร้างบ้านให้เสร็จเร็ว ๆ สำหรับเรื่องทายาท ก็อยากมีครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราสองคนถ้าเราคิดว่าใช่ก็โอเค"
ต่อ ข้อถามที่ว่าทำไมถึงมั่นใจตั๊ก ทั้ง ๆ ที่คบกันไม่นาน นายบุญชัย กล่าวว่า จริงๆมันอยู่ในหัวของตนมาตลอด ครูบาอาจารย์สอนมาว่าหาคู่ครองให้หาคนที่เสมอด้วยศีล ตนเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม ชอบนั่งสมาธิ วันที่ปิ๊งเขาคือวันที่เห็นเขายืนที่บ้านแล้วมีรูปภาพหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสิ่งที่ตั๊กก็พาไปพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่แค่เขาพูดว่าปฏิบัติ เขาก็พาไปที่วัดปากน้ำ ตนประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง พระและแม่ชีต่างรู้จักตั๊กเพราะเขาไปเป็นประจำ อย่างไปล้างชามตนก็ทำด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ว่าเพราะตนจะตามใจเขา ตนคิดว่าเขาลงครัวมาให้เรากิน เราก็ควรจะตอบแทนด้วยการไปล้างจาน เราไม่ได้มองไกลไป20-30ปี เรามองความรู้สึกวันนี้ที่มีต่อกัน เรื่องวัยต่างกันไม่ใช่เรื่องใหญ่ การที่เราได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันก็ทำให้เราเจริญธรรมได้ดี มีศีล5ข้อ" จากนั้น ตั๊ก เสริมว่า "เราสวดมนต์กันทุกเช้า บางวันไปงานเลี้ยง ตั๊กอาจจะจิบไวท์บ้าง เขาก็จะบอกตั๊กศีล 5 นะ เป็นคนคอยเตือน ตั๊กก็จะบอกว่าไม่เป็นไร แค่เบาๆ"
แม่เล็ก-ธนาภา กล่าวว่า ตนปลาบปลื้มใจที่ตั๊กมีวันนี้ ยิ้มที่มีคนมาแสดงความยินดีเยอะ เราก็สบายใจไปขั้นนึงนะ ตนอวยพรให้เขามีความสุข ให้เขาอยู่ด้วยกันอวสานชีวิตเขาทั้งคู่ ส่วนเรื่องที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะแต่งงานกันประมาณเดือน เม.ย.ปีหน้านั้น ตนเห็นเขาพูดกันว่าอาจจะแต่งก่อนเม.ย. นาย บุญชัยอาจจะไม่อยากจะรอเรือนหอให้เสร็จ คงต้องรอดูกันอีกที ถามว่าตนอยากอุ้มหลานเร็ว ๆ หรือไม่ ก็อยากเห็นเร็ว ๆ นะ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่ก็แล้วแต่ทั้งคู่ ไม่อยากไปเร่งรัดเขา ก็เอาไปตามธรรมชาติ สำหรับเรื่องที่มีข่าวลือว่า นายบุญชัย ว่าที่ลูกเขยไปนอนโซฟาที่บ้านตั๊กทุกคืนนั้น ก็เป็นเรื่องจริง พอดีเขาต้องมาตักบาตรกับตั๊กทุกเช้าก็เลยให้เขามานอน เขาก็เป็นแค่คู่หมั้น ยังไม่ได้แต่ง เขาก็ติดดินดี ห้องเราก็มีจำกัดนะ มีห้องแม่กับห้องตั๊ก แม่บอกว่างั้นคุณบุญชัยไปนอนห้องตั๊กก็ได้ แล้วตั๊กมานอนกับตน เขาบอกไม่เป็นไร เขานอนที่โซฟาได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับของขวัญวันหมั้นนั้น เมื่อช่วงก่อนพิธีหมั้นตนมอบพระหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ได้มานานแล้วเลี่ยมทอง ฝังเพชร
"บิ๊กโอ๋" เชื่อใจทหารไม่รัฐประหาร สะกิด" ผู้ใหญ่" ปรามม็อบแช่แข็งประเทศ
เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ( 19 พ.ย.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมกล่าวถึงการประชุมหน่วยงานความมั่นคง เพื่อรับมือการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผลการประชุม ส่วนการออกพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนต้องให้ความเห็นร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ต้องให้หลายหน่วยงานพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง
เมื่อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้โฟนอินในเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีทหารประจำการอยู่เบื้องหลังม็อบกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามนั้น พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และผบ.เหล่าทัพได้สั่งกำลังพลไปแล้วว่าไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุม เพราะเราเป็นทหาร เรื่องนี้จะต้องเป็นกลาง ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งคำสั่งมีความชัดเจนและมีผลบังคับใช้อยู่ ส่วนที่มีทหารประจำการที่เป็นลูกน้องเก่าของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามร่วมชุมนุมด้วยนั้นก็ขอให้ดูคำสั่งผู้บังคับบัญชา เมื่อสั่งอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น สั่งว่าไม่ให้ออกต้องไม่ออก เป็นทหารต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพราะวินัยทหารมี ซึ่งทหารแตกต่างจากคนอื่นก็ตรงนี้ ต้องเชื่อฟังและสั่งกันได้ในทางที่ถูกต้อง ทหารอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้เพราะเป็นปราการของประเทศ ถ้าสั่งไม่ได้ก็พัง
ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้ระวังไว้ก่อนหรือไม่ เพราะตนไม่ได้ฟังพ.ต.ท.ทักษิณพูดปราศรัย แต่ทราบว่าข้อมูลที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับก็ตรงกับข้อมูลของตน
เมื่อถามว่าเท่าที่ได้รับรายงานจะมีทหารไปร่วมชุมนุมหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็ไม่มี เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิด อย่าไปคาดเดาว่ามีหรือไม่มี เมื่อถามต่อว่าวันนี้ได้เจอกับผบ.เหล่าทัพได้มีการหารือถึงจุดยืนต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เราก็อยู่เฉยๆ และกองทัพก็อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยร่วมกันว่าเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อยู่ตรงกลาง
เมื่อถามว่าเท่าที่ได้รับรายงานจะมีทหารไปร่วมชุมนุมหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็ไม่มี เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิด อย่าไปคาดเดาว่ามีหรือไม่มี เมื่อถามต่อว่าวันนี้ได้เจอกับผบ.เหล่าทัพได้มีการหารือถึงจุดยืนต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เราก็อยู่เฉยๆ และกองทัพก็อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยร่วมกันว่าเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อยู่ตรงกลาง
เมื่อถามต่อว่า มั่นใจว่าผบ.เหล่าทัพจะไม่นำกำลังออกมาปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ขอให้เลิกถามเสียที มันน่าเบื่อหน่าย อย่ายุแหย่ หรือถามนำในสิ่งที่ไม่ดี ตนขี้เกียจตอบเรื่องนี้ จะให้ตนตอบว่าอย่างไร จะให้ตอบว่าไม่มั่นใจหรือ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าประชาชนมีความกังวล อยากได้ความมั่นใจว่าทหารจะไม่ออกมาปฏิวัติ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ประชาชนไม่ขวัญอ่อนเหมือนผู้สื่อข่าว ไม่ต้องห่วง เพราะไม่มี และไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ทั้งนี้เรามีวอร์รูมติดตามสถานการณ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตั้งใหม่ ซึ่งได้มีการติดตามสถานการณ์ทุกวัน และมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นเวรดูแลอยู่ ส่วนกรณีที่เกรงว่าจะมีมือที่3 เข้ามาสร้างสถานการณ์นั้นก็ต้องดูอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าม็อบแช่แข็งจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อย่าไปพูดเลยเพราะจะเป็นการท้าทายเขาเปล่าๆ ขอทำหน้าที่ของตนดีที่สุด แต่เสียงส่วนมากของประเทศเห็นว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีความรู้และรู้จักกัน ก็ขอให้ห้ามกันบ้าง ไม่ใช่ไม่ยุ่งเกี่ยวและอยู่เฉยๆ พูดได้ก็ห้ามบ้าง เพื่อประเทศชาติ ถ้าห้ามปรามได้แล้วไม่ทำ คนอื่นก็คิดอีกอย่างในทางที่ไม่ดี ต้องขอให้ช่วยกัน ทั้งนี้ไม่ขอบอกว่าผู้ใหญ่ที่ตนพูดถึงเป็นใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าใช่ข้อมูลที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่าเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่หมายถึงผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน หรือเป็นเพื่อนกันก็ขอให้ห้ามกันบ้าง ส่วนจะเชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“เสธ.อ้าย” ยันร่วมมือตำรวจดูแลม็อบ ออกตัว "พะจุณณ์" ไม่ได้ร่วมวางแผน
“เสธ.อ้าย” เผย ร่วมมือตำรวจ ดูแลม็อบ แจงผู้ชุมนุมอย่าพกอาวุธ ลั่นไม่ว่าคนมากหรือน้อย ไม่มีชุมนุมครั้งที่ 3
วันนี้ (19 พ.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่สนามม้านางเลิ้ง พล.ต.อ.วรพงศ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ได้เดินทางมาเข้าพบ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ในวันที่ 24 พ.ย. โดยใช้เวลาในการพูดคุยนานกว่า 1 ชม.โดยพล.อ.บุญเลิศ กล่าวภายหลังการพูดคุยว่า ตนจะแจ้งผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ให้พกพาอาวุธเข้ามาในที่พื้นที่การชุมนุมโดยเด็ดขาด และมั่นใจว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุม รวมถึงการเฝ้าระวังอาวุธวิธีโค้ง เช่น เอ็ม 79 ที่อาจโจมตีมายังที่ชุมนุมด้วยนั้น ประกอบกับมาตรการรักษาความปลอดภัยร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยขององค์การพิทักษ์สยาม รวมถึงสื่อมวลชนที่เฝ้าติดตามการชุมนุมดังกล่าวที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาในการชุมนุม ก็เชื่อว่าจะสามารถดูแลสถานการณ์ได้
พล.อ.บุญเลิศ กล่าวต่อว่า การชุมนุมในวันดังกล่าว หากผู้ชุมนุมมาน้อยกินพื้นที่ตั้งแต่ลานพระรูปไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่เลยสะพานผ่านฟ้าสีลาศ ไปก็คิดว่าจะต้องกล่าวขอโทษประชาชนที่มาร่วมชุมนุมและต้องยกเลิกการชุมชุม แต่หากเลยสะพานผ่านฟ้าไป จะดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าการดำเนินการจะเป็นอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะเป็นวิธีสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ว่าผู้ชุมนุมจะมามากหรือน้อยก็จะไม่การชุมนุมครั้ง ที่ 3 อย่างแน่นอน เพราะหากรัฐบาลไม่ไปตนก็จบ ทั้งนี้หากมีผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงในวันที่ 23 พ.ย. ทางสนามม้านางเลิ้งได้จัดพื้นที่ให้ประชาชนได้พักอาศัย เพื่อเตรียมตัวชุมนุมในเช้าวันวันที่ 24 พ.ย. ด้วย
นอกจากนี้ พล.อ.บุญเลิศ ยังกล่าวถึงการที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะเข้าร่วมชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. ว่า ท่านไม่เคยประสานงานมาแต่อย่างใด แต่ในการชุมนุมครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง ท่านก็ได้มาร่วมอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ร่วมวางแผนเตรียมการชุมชุมอะไรทั้งสิ้น.
เพชฌฆาตเงียบ"มะเร็งต่อมลูกหมาก"คร่าชีวิตชายไทย
“มะเร็งต่อมลูกหมาก” เพชฌฆาตเงียบ คร่าชีวิตชายไทยเป็นอันดับ 4 ผู้เชี่ยวชาญคาดต้นตอเกิดจากฮอร์โมนเพศ-รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง-กรรมพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญชี้สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ด้วยเคมีบำบัด ระบุผู้ป่วยทุกสิทธิ์ในประเทศสามารถเข้าถึงยา-เคมีบำบัดมาตรฐานได้
วันนี้ (18 พ.ย.) ผศ.นพ.ชูศักดิ์ ปริพัฒนานนท์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบปัสสาวะ รพ.สงขลานครินทร์ ปฏิคมและประชาสัมพันธ์ สมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่มักพบได้ในผู้ชายสูงอายุ ในประเทศไทยอายุที่พบได้บ่อยคือมากกว่า 60 ปี และมีรายงานการเกิดอุบัติการณ์ล่าสุดสำหรับผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากขึ้นมาเป็นอันดับ 4 จากเดิมซึ่งอยู่อันดับ 9 โดยสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน แต่หลายคนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชาย และการรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมากมีการเจริญเติบโตมากขึ้น เนื่องจากโรคนี้พบมากที่สุดในชาวตะวันตก นอกจากนั้นสาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมากยังเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์อีกด้วย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาพบแพทย์ในระยะลุกลามซึ่งทำให้การรักษาไม่สามารถทำให้หายขาดได้
ผศ.นพ.ชูศักดิ์ กล่าวต่อว่าสำหรับอาการของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 1.กลุ่มที่ไม่มีอาการใด ๆ ซึ่งอาจจะตรวจพบจากการตรวจร่างกายประจำปี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักถูกวินิจฉัยโรคได้ในระยะเริ่มต้น เมื่อได้รับการรักษาแล้วจะสามารถหายขาดจากโรคได้ 2.กลุ่มที่มีอาการเกี่ยวข้องกับโรคต่อมลูกหมากโต ผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะที่ผิดปกติ เมื่อผ่านการตรวจอย่างละเอียดอาจพบว่าเกิดจากมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากทางท่อปัสสาวะ เพื่อแก้ไขภาวะต่อมลูกหมากโตและพบมะเร็งจากการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา และ 3. กลุ่มที่มีอาการของมะเร็งโดยทั่วไป ได้แก่ อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตามร่างกาย และกระดูก อาการเหล่านี้เป็นผลจากการลุกลามของมะเร็ง ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่การรักษาจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นและอาจป้องกันการลุกลามของมะเร็งได้
ทั้งนี้เมื่อทราบแน่ชัดว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แนวทางและวิธีการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ระยะของโรค และอายุของผู้ป่วยรวมทั้งการประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยการรักษาในช่วงแรกมักรักษาด้วย การผ่าตัด การฉายแสง หรือการบล็อกฮอร์โมนเพศชายร่วมเข้าไปด้วยเพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น แต่หากการรักษาไม่ได้ผลและมะเร็งมีการแพร่กระจายแล้ว แพทย์จะให้เคมีบำบัด โดยการให้ทางเส้นเลือดดำเหมือนให้น้ำเกลือ ซึ่งสารเคมีดังกล่าวจะช่วยไปฆ่าเซลล์มะเร็ง เพื่อยับยั้งการลุกลามเพิ่มขึ้นของมะเร็ง และหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดแต่เนิ่นๆ หรือรวดเร็ว ก็จะสามารถช่วยรักษาโรคได้ดีขึ้นและลดอาการเจ็บปวดที่เกิดจากมะเร็ง และมีผลดีคือทำให้ผู้ป่วยคงสภาพชีวิตเป็นปกติหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ยาวนานที่สุด
ด้าน ผศ.ดร.นพ. วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อาจารย์แพทย์ประจำหน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเตรียมพร้อมก่อนที่จะมารับเคมีบำบัดว่า การเตรียมตัวจะมี 2 ด้าน คือด้านร่างกายและด้านจิตใจ โดยเฉพาะทางด้านร่างกาย ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจผิดว่าถ้ามารักษาโรคมะเร็งแล้วต้องจำกัดอาหาร ตอนนี้มีกระแสเยอะเลยทีเดียวคือพยายามให้กินแต่ผัก หรือกินแต่โปรตีนจากปลาเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ขาดสารอาหารสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพอมารับยาเคมีบำบัดแล้วก็จะทนได้ไม่ดี เพราะยาเคมีบำบัดจะทำให้มีเม็ดเลือดต่ำ หากขาดสารอาหาร เม็ดเลือดก็จะฟื้นตัวไม่ดีเท่ากับมีภาวะโภชนาการที่ดีจริง ๆ
ผศ.ดร.นพ. วิโรจน์ ยังกล่าวถึงการฟื้นตัวภายหลังจากการให้เคมีบำบัดว่า คนไข้จะสามารถฟื้นตัวได้ดีภายใน 14 วัน ผลข้างเคียงที่จะพบค่อนข้างต่ำ ในบางคนอาจจะมีอ่อนเพลียบ้าง สำหรับอาการคลื่นไส้อาเจียนสามารถป้องกันได้ แต่ส่วนใหญ่หลังรับยาเคมีบำบัดแล้วร่างกายจะดีขึ้น สบายขึ้น เพราะอาการจากโรคเช่น อาการปวดกระดูกจะน้อยลง คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าให้เคมีบำบัดแล้วทำให้ร่างกายทรุด แต่สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมากนั้นไม่ใช่ เพราะเมื่ออยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะมีการประเมินว่าคนไข้แต่ละรายสามารถรับยาได้แค่ไหน คนไข้แข็งแรงพอหรือไม่ หากคนไข้สูงอายุหรือเคยผ่านการฉายแสงมามาก อาจจะต้องมียากระตุ้นเม็ดเลือดขาวช่วยหลังจากที่ได้รับเคมีบำบัด ส่วนเรื่องอาหารหลักง่ายๆ คือสุกสะอาด หลีกเลี่ยง อาหารรสจัด ของหมักดอง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อจนร่างกายเกิดผลกระทบได้ หากรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทาโภชนาการครบถ้วนก็จะทำให้คนไข้พร้อมที่จะรับยาได้อย่างเต็มที่
อุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า ทางด้านสิทธิของผู้ป่วยในการใช้ยาในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากนั้น มาตรฐานของบัญชียาหลักแห่งชาติ ครอบคลุมการรักษาพื้นฐานของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากทุกระยะของโรค รวมทั้งการให้เคมีบำบัดในมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจาย เนื่องจากเคมีบำบัดเป็นการรักษาที่ช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ในปัจจุบันกลุ่มผู้ป่วยทุกสิทธิ์ในประเทศไทยรวมถึงผู้ป่วยที่ใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถเข้าถึงยาเคมีบำบัดมาตรฐานนี้ได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายจึงได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ ผู้ป่วยทุกรายยังมีความหวังที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สามารถเข้าร่วมสัมมนา “สานสายใย ใส่ใจต่อมลูกหมาก” โดยนายกสมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะแห่งประเทศไทยฯ และนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ในวันที่ 1 ธ.ค.ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป ณ ศาลาภิรมย์ภักดี สวนลุมพินี หรือสำรองที่นั่งได้ที่โทร 087-698-2735 ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ.
"บิ๊กโอ๋" เชื่อใจทหารไม่รัฐประหาร สะกิด" ผู้ใหญ่" ปรามม็อบแช่แข็งประเทศ
เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ( 19 พ.ย.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมกล่าวถึงการประชุมหน่วยงานความมั่นคง เพื่อรับมือการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผลการประชุม ส่วนการออกพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนต้องให้ความเห็นร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ต้องให้หลายหน่วยงานพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง
เมื่อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้โฟนอินในเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีทหารประจำการอยู่เบื้องหลังม็อบกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามนั้น พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และผบ.เหล่าทัพได้สั่งกำลังพลไปแล้วว่าไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุม เพราะเราเป็นทหาร เรื่องนี้จะต้องเป็นกลาง ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งคำสั่งมีความชัดเจนและมีผลบังคับใช้อยู่ ส่วนที่มีทหารประจำการที่เป็นลูกน้องเก่าของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามร่วมชุมนุมด้วยนั้นก็ขอให้ดูคำสั่งผู้บังคับบัญชา เมื่อสั่งอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น สั่งว่าไม่ให้ออกต้องไม่ออก เป็นทหารต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพราะวินัยทหารมี ซึ่งทหารแตกต่างจากคนอื่นก็ตรงนี้ ต้องเชื่อฟังและสั่งกันได้ในทางที่ถูกต้อง ทหารอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้เพราะเป็นปราการของประเทศ ถ้าสั่งไม่ได้ก็พัง
ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้ระวังไว้ก่อนหรือไม่ เพราะตนไม่ได้ฟังพ.ต.ท.ทักษิณพูดปราศรัย แต่ทราบว่าข้อมูลที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับก็ตรงกับข้อมูลของตน
เมื่อถามว่าเท่าที่ได้รับรายงานจะมีทหารไปร่วมชุมนุมหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็ไม่มี เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิด อย่าไปคาดเดาว่ามีหรือไม่มี เมื่อถามต่อว่าวันนี้ได้เจอกับผบ.เหล่าทัพได้มีการหารือถึงจุดยืนต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เราก็อยู่เฉยๆ และกองทัพก็อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยร่วมกันว่าเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อยู่ตรงกลาง
เมื่อถามว่าเท่าที่ได้รับรายงานจะมีทหารไปร่วมชุมนุมหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ก็ไม่มี เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิด อย่าไปคาดเดาว่ามีหรือไม่มี เมื่อถามต่อว่าวันนี้ได้เจอกับผบ.เหล่าทัพได้มีการหารือถึงจุดยืนต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เราก็อยู่เฉยๆ และกองทัพก็อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยร่วมกันว่าเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร อยู่ตรงกลาง
เมื่อถามต่อว่า มั่นใจว่าผบ.เหล่าทัพจะไม่นำกำลังออกมาปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ขอให้เลิกถามเสียที มันน่าเบื่อหน่าย อย่ายุแหย่ หรือถามนำในสิ่งที่ไม่ดี ตนขี้เกียจตอบเรื่องนี้ จะให้ตนตอบว่าอย่างไร จะให้ตอบว่าไม่มั่นใจหรือ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าประชาชนมีความกังวล อยากได้ความมั่นใจว่าทหารจะไม่ออกมาปฏิวัติ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ประชาชนไม่ขวัญอ่อนเหมือนผู้สื่อข่าว ไม่ต้องห่วง เพราะไม่มี และไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ทั้งนี้เรามีวอร์รูมติดตามสถานการณ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตั้งใหม่ ซึ่งได้มีการติดตามสถานการณ์ทุกวัน และมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นเวรดูแลอยู่ ส่วนกรณีที่เกรงว่าจะมีมือที่3 เข้ามาสร้างสถานการณ์นั้นก็ต้องดูอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าม็อบแช่แข็งจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อย่าไปพูดเลยเพราะจะเป็นการท้าทายเขาเปล่าๆ ขอทำหน้าที่ของตนดีที่สุด แต่เสียงส่วนมากของประเทศเห็นว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีความรู้และรู้จักกัน ก็ขอให้ห้ามกันบ้าง ไม่ใช่ไม่ยุ่งเกี่ยวและอยู่เฉยๆ พูดได้ก็ห้ามบ้าง เพื่อประเทศชาติ ถ้าห้ามปรามได้แล้วไม่ทำ คนอื่นก็คิดอีกอย่างในทางที่ไม่ดี ต้องขอให้ช่วยกัน ทั้งนี้ไม่ขอบอกว่าผู้ใหญ่ที่ตนพูดถึงเป็นใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าใช่ข้อมูลที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่าเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่หมายถึงผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน หรือเป็นเพื่อนกันก็ขอให้ห้ามกันบ้าง ส่วนจะเชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"มาร์ค-เทือก" งานเข้า ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งเด้ง “ พีรพล ไตรทศาวิทย์ ” อดีตปลัดมหาดไทย พร้อมคืนสิทธิประโยชน์
วันนี้ ( 19 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง โดยนายสมิง พรทวีศักดิ์อุดม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ 1054/2552 พร้อมองค์คณะ มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 17/2552 ลงวันที่ 20 ม.ค.52 ที่แต่งตั้งนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปเป็นปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ และให้คืนสิทธิประโยชน์ที่นายพีรพล จะได้รับในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด
โดยคดีนี้ นายพีรพลได้ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายโดย ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.52 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบตามการเสนอของนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ให้นายพีรพล ผู้ฟ้องไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ขาดจากอัตราเงินเดือนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เป็นสังกัดเดิมและให้มีผลทันทีในวันดังกล่าว
ทั้งนี้ นายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 2 อ้างเหตุผลต่อสื่อมวลชนว่าเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงาน ความเหมาะสมและต้องการให้มีข้าราชการที่ทำงานแล้วรัฐบาลรู้สึกสบายใจว่า งานที่รัฐบาลสั่งการลงไป ข้าราชการสามารถรับไปปฏิบัติและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งที่ผู้ฟ้องปฏิบัติราชการตำแหน่ง ปลัดมหาดไทยได้เพียง 3 เดือนเศษ และรัฐบาลของผู้ถูกฟ้องเข้ามาบริหารได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งในวันที่ 20 ม.ค.52 วันเดียวกับที่เสนอย้ายผู้ฟ้องนั้น ครม.เห็นชอบตามที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสองและกระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งนายวิชัย ศรีขวัญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนผู้ฟ้อง ซึ่งการมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น กระทำโดยปราศจากหลักเกณฑ์และเหตุผลอันควร จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
เมื่อศาลพิเคราะห์คำฟ้อง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การปฏิบัติราชการของ ครม. และรัฐมนตรี ต้องเป็นไปตามกฎหมายตามหลักนิติธรรม ซึ่งการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ให้ผู้ฟ้องไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุผู้ฟ้องรับราชการในกระทรวงมหาดไทยมานาน เป็นผู้มีประสบการณ์ทำให้การบริหารราชการในฝ่ายปกครองประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ และนโยบายสำคัญเร่งด่วนหลายเรื่องต้องดำเนินการนั้น
ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังขัดต่อพฤติการณ์และแนวปฏิบัติของผู้ถูกฟ้อง เพราะหากรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในส่วนเกี่ยวข้องกับฝายปกครอง ผู้ถูกฟ้องทั้งสองสามารถมอบหมายนโยบายให้ผู้ฟ้อง ที่ขณะนั้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยรับไปปฏิบัติได้ซึ่งผู้ฟ้องจะสามารถสั่งการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยให้พร้อมปฏิบัติการตามนโยบายได้อย่างรวดเร็วตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ยิ่งกว่าการไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่มีอัตราเพียง 9 คน ขณะที่ความเป็นจริงไม่ได้มีข้าราชการดำรงตำแหน่งดังกล่าวเต็มกรอบอัตรากำลัง ซึ่งแม้การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีวันที่ 20 ม.ค.52 และ รมว.มหาดไทย มีหนังสือแจ้งไปยังเลขาธิการ ครม. เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในวันเดียวกัน จะไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่แสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่เร่งรีบ แฝงซึ่งวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสองอ้างเป็นเหตุผล
อีกทั้งปรากฏด้วยว่าขณะนั้นผู้ฟ้องมีอายุราชการในการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยอีกถึง 2 ปี จะมีเวลาทำงานมากกว่านายวิชัย ศรีขวัญ ที่เมื่อดำรงตำแหน่งปลัดแล้วมีเวลาทำงานเพียง 6 เดือน ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง อ้างว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนการสั่งย้ายนั้น เห็นว่า ตั้งแต่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีคำสั่งย้ายผู้ฟ้อง ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.52 ก็ไม่ปรากฏว่าได้มอบหมายงานให้ปฏิบัติ กระทั่งวันที่ 24 เม.ย.52 ผู้ฟ้องมีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงาน ก.พ.เพื่อรับคำบรรยายลักษณะงานในตำแหน่งที่ปรึกษานายก ฯ ซึ่ง ก.พ.ได้มีหนังสือวันที่ 14 พ.ค.52 แจ้งกลับมา จึงทำให้เห็นว่า ขณะที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 สั่งย้ายผู้ฟ้องนั้น ยังไม่มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้ผู้ฟ้องรับไปปฏิบัติแต่อย่างใด
แม้ต่อมาวันที่ 29 เม.ย.52 ผู้ถูกฟ้องที่ 1 จะแต่งตั้งผู้ฟ้อง เป็น ผอ.สำนักงานอำนวยการบูรณาการประสานความร่วมมือและติดตามเร่งรัดงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ( สอ.นร.) แต่ก็หลังจากสั่งย้ายนานถึง 3 เดือน อีกทั้งยังปรากฏว่าเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.52 ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ( สปน.) อนุมัติเจ้าหน้าที่ 2 อัตราให้ช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อปฏิบัติงาน สอ.นร. ซึ่งเป็นเวลา 5 เดือนหลังจากที่ผู้ฟ้องไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนั้นที่อ้างว่าการสั่งย้ายผู้ฟ้องมีความจำเป็นเร่งด่วน จึงไม่อาจรับฟังได้ แต่เป็นการออกคำสั่งย้ายเพียงให้ผู้ฟ้องพ้นจากตำแหน่ง เพื่อจะแต่งตั้งข้าราชการอื่นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยต่อไปเท่านั้น
ขณะที่เมื่อพิจารณาบทบาทหน้าที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย จะเห็นได้ว่า มีความรับผิดชอบมากกว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยนอกจากต้องกำกับดูแลและบริหารราชการในหน่วยงานแล้วยังสามารถให้คำปรึกษาเสนอความเห็นกับนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก ฯ แต่อย่างใด ดังนั้นที่ผู้ถูกฟ้องอ้างว่า ตำแหน่งที่ปรึกษานายก ฯ สูงกว่าปลัดกระทรวงมหาดไทยนั้นยังฟังไม่ได้การที่ผู้ฟ้องถูกสั่งย้าย จึงเป็นการลดบทบาทและความสำคัญในตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการตามที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญกำหนดไว้
จึงพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 17/2552 ลงวันที่ 20 ม.ค.52 และเพิกถอนการโอนนายพีรพล ที่แต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ และให้คืนสิทธิประโยชน์ที่นายพีพล จะได้รับในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีแม้ศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว แต่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องยังสามารถยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วันตามกฎมาย.
เกจิดังเพ่งดวงอาทิตย์ขอพลังคุ้มครอง"นายกฯปู"
เกจิดังเพ่งดวงอาทิตย์ขอพลังคุ้มครอง"นายกฯปู" เพราะต้องรับศึกหนักจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน รวมทั้งม็อบเสธ.อ้ายรวมตัวขับไล่รัฐบาล
เมื่อเวลา 09.39 น. วันที่ 18 พ.ย. พระครูสุเทพสิทธิคุณ หรือ "หลวงพ่อพันเทวา" อายุ 74 ปี เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมพระลูกวัดอีก 5 รูป ทำพิธีเพ่งดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าที่บริเวณวัดศรีบุญเรือง เป็นเวลานานกว่า 30 นาที
หลวงพ่อพันเทวา กล่าวว่า การทำพิธีในครั้งนี้ เป็นการเพ่งดวงอาทิตย์เพื่อขอบารมีสุริยะเทพลดกระแสความร้อนแรงของบ้านเมืองลง จากการทำพิธีในช่วงต้นพิธีได้มีเมฆมาบดบังดวงอาทิตย์ จากนั้นไม่นานกลุ่มเมฆก็ได้เคลื่อนตัวออกไป ซึ่งตีความได้ว่าว่า ประเทศชาติอาจจะประสบปัญญาภัยคุกคามในบางช่วง แต่จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ ยังได้มีการบริกรรมคาถา เพื่อขอให้เทพ และเทวดาต่างๆ ให้ช่วยคุ้มครองบ้านเมือง ให้ประเทศไทยเข้าสู่ความร่มเย็นเป็นสุข หากมีคนคิดร้ายทำลายบ้านเมือง รวมถึงสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอให้คนเหล่านั้นมีอันเป็นไป
นอกจากนี้ หลวงพ่อพันเทวายังกล่าวอีกว่า อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งใจทำสิ่งที่ดีๆ ทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชนต่อไป อย่าท้อถอย ให้บากบั่นแก้ไขปัญหาเพื่อนำพาบ้านเมืองให้เป็นสุขต่อไปให้ได้ เป็นธรรมดาการทำงานเพื่อส่วนรวมมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยย่อมมีปัญหาบ้าง แต่ปัญหาที่มีอยู่ในขณะนี้จะเบาบางลงได้หลังจากที่ตนทำพิธีให้ในวันนี้ ตนได้เพ่งมองดวงอาทิตย์เพื่อขอให้พลังสุริยะเทพแผ่พลังคุ้มครองให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นจากภัย ไกลจากเวรที่เกิดขึ้นมาในเวลานี้ ภัยอันใด เวรอันใดที่มีมาจะถึงตัว ขอให้หมดไปเสีย อย่าได้มาถึงตัว ทุกอย่างปลอดภัยหายห่วง
สำหรับหลวงพ่อพันเทวา ถือเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังของเชียงใหม่และดินแดนล้านนา มีชื่อเสียงทางด้านวิชาอาคมจนเป็นที่นับถือของชาวเชียงใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง และเป็นพระอาจารย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่มีกิจกรรมและการเคลื่อนไหวครั้งใด มักจะนิมนต์ หลวงพ่อพันเทวา มาทำพิธีทุกครั้ง นอกจากนั้นหลวงพ่อพันเทวา ยังทำพิธีจ้องมองพระอาทิตย์ บริกรรมคาถาเสริมดวงให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ มาหลายครั้ง และครั้งนี้ทำการเพ่งดวงอาทิตย์เสริมดวงให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะอีกไม่กี่วันรัฐบาลต้องรับศึกหนักจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน รวมทั้งม็อบเสธ.อ้าย ที่กำลังจะรวมตัวขับไล่รัฐบาล.