วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ส.ส.ปชป.ยื่นหนังสือปปง.ตรวจสอบทุจริตจำนำข้าว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้(4 ธ.ค.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือพร้อมเอกสารหลักฐานเส้นทางการเงินให้ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินที่น่าเนื่องจากเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยร.ต.อ.หญิง สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการปปง.เป็นผู้รับเรื่อง
น.พ.วรงค์ กล่าวว่า เบื้องต้นพบว่าไม่มีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างเพราะหากเป็นการระบายข้าวแบบจีทูจี การชำระค่าข้าวควรเปิด LC มาที่กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นเงินของรัฐบาลแต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าเงินชำระค่าข้าวเป็นแคชเชียร์เช็คของธนาคาร 4 แห่งในประเทศ โดย แคชเชียร์เช็ค 2 ใบเป็นของนายสมคิด เอื้อนสุภา ซึ่งเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า ซึ่งเป็นการขายข้าวโดยหลีกเลี่ยงการประมูล และมีพฤติการณ์การโอนเงินต้องสงสัยในลักษณะการฟอกเงิน คือเมื่อมีเงินโอนเข้าในช่วงเช้าก็จะมีการถอนเงินออกในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ทั้งนี้เชื่อว่านายสมคิดอาจซื้อเช็คจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศโดยเกี่ยวข้องกับบัญชีค้าข้าวของรัฐบาลทำให้รัฐบาลอาจเข้าไปพัวพันกับการฟอกเงินด้วย
ด้านร.ต.อ.หญิง สุวนีย์ แสวงผลรองเลขาธิการ ป.ป.ง.ได้รับปากและยืนยันว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปตรวจสอบโดยจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งต้นเดือนหน้าน่าจะเกิดความชัดเจน
ปวีณาสลดหญิงไทยถูกหลอก
วันนี้ (4 ธ.ค.) นางหน่อย (นามสมมุติ) มารดาของ น.ส.เอ (นามสมมุติ). อายุ 23 ปี เข้าร้องทุกข์กับ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ขอให้ช่วยเหลือลูกสาวที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศบาร์เรน ขณะนี้ถูกขังอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คุมอยู่ในห้องตลอดเวลาและยังมีหญิงไทยอีกเป็นจำนวนมากถูกขังอยู่เช่นกัน
หลังจากที่ นางปวีณา รับเรื่องราวร้องทุกข์ได้รีบประสานไปยังนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ พร้อมส่งที่อยู่ ของหญิงสาวชาวไทยรายที่ขอความช่วยเหลือไปให้ ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบาร์เรนให้เข้าช่วยเหลือโดยด่วน เนื่องจากหญิงไทยเหล่านี้กำลังจะถูกโยกย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ
ต่อมาวันนี้เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบาร์เรนได้แจ้งกลับมายังนางปวีณา ว่า ขณะนี้ได้ช่วยเหลือหญิงไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำนวน 21 คน ขณะนี้อยู่ในความดูแลของกระทรวงต่างประเทศ เพื่อรอที่จะส่งตัวกลับ ขณะเดียวกันตำรวจบาร์เรนได้จับกุมผู้เป็นธุระจัดหาที่เป็นคนไทย และชาวบาร์เรนแล้ว
ขณะเดียวกันมีหญิงไทยอายุ 24 ปีถูกหลอกไปประเทศบราซิลบังคับให้ขนยาเสพติด ขู่ฆ่าหากขัดขืน แอบส่งข้อความให้พี่สาวแจ้งนางปวีณาช่วยเหลือด่วนพี่สาว น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี ได้โทรศัพท์มายังมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีเพื่อขอให้นางปวีณาช่วยเหลือน้องสาวที่ถูกชาวต่างชาติผิวดำ ชาวบราซิลที่รู้จักกันในประเทศไทยชักชวนไปขายเพชรที่ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงเดินทางไป แต่เมื่อไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งกลับถูกควบคุมตัวตลอดเวลา และบังคับให้น.ส.บี ขนโคเคนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งน.ส.บี ได้ปฏิเสธไม่ทำตาม แต่แก๊งผิวดำขู่ว่าให้เวลาคิดก่อนถ้าไม่ยอมทำจะฆ่าทิ้ง จากนั้นน.ส.บี ได้แอบส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือให้พี่สาว ว่าถูกบังคับให้ขนยาเสพติดไม่งั้นจะถูกฆ่าขอให้ช่วยด้วย เมื่อนางปวีณา ได้รับข้อมูลชื่อและสถานที่อยู่ จึงเร่งประสานไปยังนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการป.ป.ส.เพื่อช่วยเหลือเป็นการด่วน การดำเนินการขณะนี้ นางปวีณาได้ติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศและเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบราซิลเพื่อเร่งช่วยเหลือด่วนแล้ว
อีกราย สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา นางประเสริฐ ภูจักนิล อายุ 43 ปี ชาวกาฬสินธุ์ อาชีพรับจ้าง ได้เข้าร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯว่า ครอบครัวของตนฐานะยากจน ทำให้ลูกสาวชื่อ น.ส.วิไลพร ภูจักนิล อายุ 25 ปี มีญาติชักชวนให้ไปทำงานในบาร์แห่งหนึ่งที่เมืองพัทยา หลังจากนั้นลูกสาวได้เล่าให้ฟังว่ามีชาวต่างชาติผิวดำมาติดพันและชักชวนให้ไปขายเพชรที่ประเทศบลาซิล หลังจากที่ได้ก็พยายามห้ามปรามเนื่องจากกลัวว่าลูกสาวจะถูกหลอกและได้รับอันตราย ลูกสาวก็รับฟังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันพักใหญ่ จนกระทั่งประมาณกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ลูกสาวได้โทรศัพท์มาบอกว่าขณะนี้อยู่ที่ประเทศบลาซิลกับแฟนชาวต่างชาติผิวดำที่เคยเล่าให้ฟัง ซึ่งเดินทางมาได้ 1 อาทิตย์แล้ว หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันลูกสาวได้โทรศัพท์มาหาอีกครั้งแล้วบอกว่าแฟนหนุ่มจะให้เดินทางกลับเมืองไทยแต่จะต้องขนกระเป๋าเดินทางซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งของข้างในเป็นอะไรพยายามสอบถามแฟนหนุ่มแต่ไม่ยอมบอก โดยลูกสาวบอกอีกว่าจะขึ้นเครื่องบินที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิลและถึงเมืองไทยในเช้าวันจันทร์ต้นเดือนพ.ย.หลังจากนั้นก็เฝ้ารอวันที่ลูกสาวจะเดินทางกลับมาหา แต่ปรากฏว่าลูกสาวไม่กลับมาตามที่บอกไว้ และได้พยายามติดต่อแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงออกสืบเสาะข่าวคราวจากเพื่อนของสูกสาวที่ทำงานอยู่พัทยา แต่ไม่มีใครได้รับการติดต่อกับลูกสาวเลย จึงเดินทางเข้าร้องทุกข์กับนางปวีณา เพื่อขอให้ช่วยติดตามตัวลูกสาวกลับด้วย
นางปวีณา กล่าวว่า ขณะนี้ขบวนการค้ามนุษย์และขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติได้เข้ามาระบาดในประเทศไทยอย่างมากโดยแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวและหลอกหญิงไทยเดินทางไปต่างประเทศบังคับค้าประเวณี บังคับขนยาเสพติด จึงอยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เข้มงวดเรื่องการเข้า ออกของชาวต่างชาติ ตรวจสอบแบล็คลิสต์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เข้า ออกปีละหลายๆ ครั้งควรให้ตำรวจสันติบาลติดตามพฤติกรรมขณะอยู่ในประเทศไทย สำหรับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อย่ายึดติดกับปริมาณนักท่องเที่ยวควรให้ความสำคัญกับคุณภาพนักท่องเที่ยวและทำงานใกล้ชิดกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และขอประชาสัมพันธ์หญิงไทยอย่าเชื่อใจคนง่ายแม้คนไทยด้วยกันเองถึงจะสนิทกันก็ตาม หากชักชวนไปทำงานต่างประเทศเพราะจากสถิติที่มูลนิธิปวีณาฯรับเรื่องราวร้องทุกข์ปรากฏว่าหญิงไทยที่ถูกหลอกไปยังต่างประเทศรูปแบบกระบวนการค้ามนุษย์มากที่สุดคือประเทศบาร์เรน มาเลเซีย เซาท์แอฟริกา อินโดนีเซีย และล่าสุดที่ถูกหลอกขนยาเสพติดที่ประเทศบราซิล
รวบมือปืนพระจ้างยิงพ่อกิ๊กดับ
กองปราบปราม จับมือปืนรับจ้าง จากเจ้าอาวาสวัดดัง ยิงพ่อกิ๊กดับแค้น ที่ลูกสาวหนีตามแฟนหนุ่มหายเข้ากรุงไป
ที่ กองปราบปราบ เมื่อวันนี้(4 ธ.ค.) พ.ต.อ.นิรันดร์ นามสุวรรณ ผกก.2 บก.ป.พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ตรงเที่ยง สว.กก.2 บก.ป. นำกำลังจับกุมตัว นายเกรียงไกร หรือเกรียง หมอวงค์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 78/1 หมู่ 5 ต.หนองไขว่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ตามหมายจับศาล จ.เพชรบูรณ์ ที่ จ.209/2555 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยจับกุมได้ที่หน้าอาคารแอลเอที่ ซอย 5 นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์นซีบอร์ด ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา เวลา 03.40 น. นายเกรียงไกร ได้ร่วมกับ นายสัญญา อินตา หรือตั้ม และนายอุทิยา หรือซัน ไม่ทราบนามสกุล ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด .357 ยิง นายสานิด (ขอสงวนนามสกุล)อายุ 49 ปีชาวจ.เพชรบูรณ์ จนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ ต.ชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ก่อนพากันหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.ชนแดน ได้ติดตามจับกุม นายสัญญา และนายอุทิยา เอาไว้ได้ ส่วน นายเกรียงไกร เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ป.สืบทราบว่าหนีมากบดานใน จ.ระยอง จึงติดตามจับกุมดังกล่าว
สอบสวน นายเกรียงไกร ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชนแดน ดำเนินคดีต่อไป
รายงานแจ้งว่า คดีดังกล่าวสาเหตุเกิดมาจาก เจ้าอาวาส สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์ แอบคบหากับ น.ส.ดี อายุ 24 ปี ลูกสาวผู้ตายมาประมาณปีกว่าๆ โดยเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวได้ลงทุนซื้อบ้านซื้อรถและทองคำให้ น.ส.ดี ต่อมาฝ่ายหญิงหนีเข้ากรุงเทพฯมาอยู่กินกับแฟนหนุ่ม เจ้าอาวาสรูปดังกล่าวเกิดความคับแค้นใจ สั่งให้ พระเลขาฯ ชื่อพระปาน หรือนายปาน หมอวงค์ อายุ 51 ปี วางแผนฆ่า นายสานิด เพื่อระบายแค้น จากนั้นพระปาน ใช้ให้ นายเกรียงไกร บุตรชาย จัดหามือปืนมายิง นายสานิด จนถึงแก่ความตายดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามจับกุม พระปานมาสอบสวนเพื่อขยายผลขออนุมัติศาลออกหมายจับเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวมาดำเนินคดีในข้อหาจ้างวานฆ่าผู้อื่นต่อไป
รายงานแจ้งด้วยว่า สำนักสงฆ์ของเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวนั้น มีนายทหารและข้าราชการระดับสูงของจ.เพชรบูรณ์และ จังหวัดใกล้เคียงต่างให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตะกรุดของวัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในแวดวงคนนิยมบูชาเครื่องลางของขลัง สร้างรายได้เข้าวัดจำนวนมาก..
“ ก่อแก้ว ” วืดประกันนอนคุกต่อ ศาลสั่งยกคำร้องขอประกัน ชี้ เหตุผลอ่อน ทนาย เตรียมเข้าพบเรือนจำ 6 ธ.ค.นี้
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (4 ธ.ค.) เวลา 17.00 น. ศาลอ่านคำสั่งขอปล่อยชั่วคราวของนายก่อแก้ว จำเลยที่ 5 โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เป็นเรื่องที่ปวงชนชาวไทยสมควรจะต้องกระทำ ซึ่งสามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบและสถานที่ต่างๆ ตามสมควรและตามความเหมาะสม ซึ่งการจะได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และการเข้าร่วมงานพระราชพิธี หรือ เข้าร่วมงานสโมสรสันนิบาต เป็นเพียงโอกาสเท่านั้น แต่จำเลยที่ 5 กลับกระทำผิด ฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ต่อมาศาล จึงมีคำสั่งเพิกถอนประกัน จนจำเลยที่ 5 ไม่ได้รับโอกาสต่าง ๆ
ส่วนที่จำเลยที่ 5 อ้างว่าเป็นกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ต้องไปศึกษาดูงานที่ประเทศอิตาลีและใกล้เคียง รวมทั้งมีภารกิจต้องดูแลกิจการ มีภรรยาและบุตร 2 คนต้องดูแลรับผิดชอบนั้น ก็ยังไม่มีเหตุให้ควรเชื่อได้ว่า หากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 5 จะไม่ไปก่ออันตรายประการอื่นอีก คดีจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ ให้ยกร้อง
ภายหลัง นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความหลังจากนี้ในวันที่ 6 ธ.ค. เวลา 12.00 น. ตนจะไปพบนายก่อแก้ว ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เพื่อหารือแนวทางที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป อย่างไรก็ดีจากคำสั่งศาลแสดงให้เห็นว่า มูลค่าหลักทรัพย์ ไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ศาลมั่นใจได้ว่าเมื่อมีคำสั่งปล่อยตัวแล้วจะไม่ก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก ซึ่งเป็นหัวใจของคำสั่งศาลครั้งนี้.
ครม.ตั้ง “ดล เหตระกูล” เป็นที่ปรึกษา รมว.อุตสาหกรรม
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 ธ.ค.) นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้นายปิยวัชร นิยมฤกษ์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีอุตสาหกรรม นายปกครอง ผาสุขยืด ดำรงตำแหน่งเลขานุการรมว.อุตสาหกรรม และนายดล เหตระกูล เป็นที่ปรึกษารมว.อุตสาหกรรม
นายชลิตรัตน์ กล่าวต่อว่า ครม.ยังมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในฐานะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จำนวน 6 คน ประกอบด้วย นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร นายสมบัติ ศานติจารี นายยงยุทธ ทองสุข นายสมเกียรติ ภู่ธงชัยฤทธิ์ และนายสุทธิชัย ธรรมประมวล ขณะที่ นากิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ทูตฮังการี ขอกองปราบร่วมทำคดีฆ่านักธุรกิจ
วัน( 4 ธ.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายเดเนช โตมอย เอกอัครราชทูตฮังการี ประจำประเทศไทย เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. และ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อขอให้ตำรวจ บก.ป.ร่วมทำคดีที่นายโจเซฟ ปีเตอร์ ไรด์ อายุ 47 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บนเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ชาวฮังการี ถูกฆาตกรรม เสียชีวิต นำศพยัดถุงดำ ทิ้งในเทือกเขาป่าตอง จ.ภูเก็ต
โดย พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้พบศพนายโจเซฟ ปีเตอร์ ไรด์ ถูกฆ่ายัดถุงพลาสติกสีดำทิ้งไว้ข้างทางบนเทือกเขาป่าตอง ซอยบางทอง 1 หมู่ 6 ต.กะทู้ อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต ภายหลังตำรวจ จ.ภูเก็ต รวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายโมเช่ เดวิด หรือนายกาบอร์ แอนเดรียส เนเมท อายุ 35 ปี สัญชาติฮังการีด้วยกัน ได้ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นศพ หลังจากสืบสวนสอบสวนทราบว่า นายโมเช่ มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับผู้เสียชีวิตมาก่อนหน้านี้จนถึงขั้นขู่เอาชีวิต จนผู้ตายต้องหนีออกจากเกาะสมุย ไปเช่าบ้านในจ.ภูเก็ต จนมาพบเป็นศพดังกล่าว
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวอีกว่า จากพยานหลักฐานต่างๆ ยังเชื่อว่าน่าจะมีคนไทยให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหา โดยข้อมูลเก่าที่ตำรวจฮังการี นำมามอบให้ทางตำรวจ บก.ป.ก็จะนำไปเปรียบเทียบกับคดีที่เกิดขึ้น และจะแลกเปลี่ยนข้อมูล เบาะแสในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนของตำรวจในพื้นที่ พร้อมกันนั้นจะช่วยประสานงานระหว่างตำรวจไทย กับตำรวจฮังการีในคดีนี้ต่อไป อย่างไรก็ดี กรณีนี้ทาง ผบก.ป.ได้มอบหมายให้ตนทำเรื่องเสนอไปยัง ผบช.ก.และ ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาสั่งการตามขั้นตอนแล้ว..