วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มิกค์ ดารา 7 สี นั่งทานอาหารกับเพื่อนดาราสาว ก่อนแท็กซี่พุ่งชนท้ายรถเละ
มิกค์ ดารา 7 สี นั่งรับประทานอาหารร้านข้าวต้มเจ๊จู กับเพื่อนดาราสาว"ศรศิลป์ มณีวรรณ์" หรือ มะนาว เกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่พุ่งชนท้ายรถของตนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ได้รับความเสียหายจนชิ้นส่วนแตกออกมา โชคดีที่ดาราหนุ่มไม่ได้รับอันตราย
เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. ร.ต.ท.สราวุธ กังคำ พงส.สน.โชคชัย ได้รับแจ้งอุบัติเหตุ รถยนต์ของ นายมิกค์ ทองระย้า อายุ 21 ปี ดารานักแสดงสังกัด สถานนีโทรทัศน์ช่อง 7 ถูกรถแท็กซี่เฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย บริเวณหน้าร้านข้าวต้มเจ๊จู ปากซอยนาคนิวาส 37 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. จึงรุดเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฎง 7810 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของนายมิกค์ จอดอยู่ริมถนน จากการตรวจสอบสภาพกันชนด้ายท้ายมีร่องรอยถูกเฉี่ยวชนจนชิ้นส่วนแตกออกมา ส่วนที่บริเวณกันชนด้านหน้ายังพบว่าได้รับความเสียหายอีกเล็กน้อย ห่างไปประมาณ 10 เมตร พบรถแท็กซี่ สีเขียวเหลือง ทะเบียน มจ 2703 กรุงเทพมหานคร มีร่องรอยถูกเฉี่ยวชนด้านหน้าจนฝากระโปรงยุบ โดยมีนายนพรัตน์ เบเชะกู่ อายุ 26 ปี เป็นผู้ขับขี่ ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่
สอบสวนนายมิกค์ กล่าวว่า โดยก่อนเกิดเหตุช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปรับรางวัล ประเภทละครยอดเยี่ยม จากละครลูกไม้หลากสี ทางช่อง 7 ที่ศูนย์การค้า ซีดีซี คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ หลังจบงาน ตนก็ได้เดินทางมารับประทานอาหารที่ร้านดังกล่าว พร้อมกับ น.ส.ศรศิลป์ มณีวรรณ์ หรือ มะนาว อายุ 21 ปี ดารานักแสดงทางช่อง 7 และเจ้าของตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2008 และญาติอีกจำนวน 2 คน โดยขณะที่รับประทานอาหารอยู่ภายในร้านตนก็ได้ยินเสียงรถชนดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อตนออกมาดูก็พบรถแท็กซี่คันดังกล่าวพุ่งชนท้ายรถของตนได้รับความเสียหาย ตนจึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ จากนั้นทาง มะนาว จึงได้ขอตัวกลับบ้านก่อน เพื่อขอกลับไปพักผ่อน
ด้านร.ต.ท.สราวุธ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประเมินมูลค่าความเสียหายไว้ประมาณ 35,000 บาท ก่อนจะประสานทางเจ้าหน้าที่ประกันภัยของรถคู่กรณีผู้เสียหายให้มาตรวจสอบ และเป็นผู้รับรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วเพื่อใช้เป็นหลักฐานต่อไป
ยธ.หว่านอีก20ล.เงินค่าเยียวยาม็อบรอบ4
ยธ. หว่านเงินค่าเยียวยาม็อบรอบ 4 เกือบ 20 ล้าน เผยยอดรวม 4 ครั้งจ่ายแล้วเฉียด 50 ล้าน เสื้อแดงยื่นหนังสือทบทวนจ่ายเพิ่มอีก เตรียมชงครม.เคาะหลักเกณฑ์ใหม่ อ้างต้องเยียวยาให้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่กระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาทางการเงินตามหลักสิทธิมนุษยชน สำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2548-2553 ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.เพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วม
พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า วันนี้เป็นการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้เสียหายจากเหตุชุมนุมทางการเมืองครั้งที่ 4 รวม 77 ราย เป็นเงินกว่า 19 ล้านบาท แยกเป็น จ.อุบลราชธานี 18 ราย อุดรธานี 28 ราย ขอนแก่น 6 ราย เชียงใหม่ 4 ราย มุกดาหาร 1 ราย และกทม. 20 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายส่วนหนึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งตนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ให้พิจารณาและออกเป็นมติ เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่ผ่านมาเป็นความเห็นชอบตามมติครม. หากจะมีการทบทวนก็ต้องให้ครม.เป็นผู้ให้ความเห็นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ส่วนความเป็นไปได้ในการแก้ไขเพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติมนั้น เป็นหน้าที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะเป็นผู้พิจารณาและเสนอความเห็นตามขั้นตอนต่อไป
เมื่อถามถึงมาตรการเยียวยากลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ไม่ทราบถึงมาตรการเยียวกลุ่มคนดังกล่าว ทราบเพียงความช่วยเหลือในกรณีฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ซึ่งการเยียวยากลุ่มใดหรือไม่ต้องให้คณะกรรมการมีมติและเสนอต่อครม.ในแนวทางเดียวกัน
ด้านนางธิดา กล่าวว่า การเยียวยาให้ผู้เสียหายจากคดีทางการเมืองครั้งนี้ถือเป็นการเยียวยาประเทศให้กลับไปสู่ความสงบ ซึ่งตนจะยังเดินหน้าเพื่อให้กลุ่มผู้เสียหายในส่วนที่จำคุกไม่ถึง 3 เดือน มีโอกาสได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าหลักเกณฑ์ขณะนี้ทำให้บางรายเกิดความไม่เท่าเทียม เช่น กรณีจำคุกเกือบครบ 90 วัน ทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาตามเกณฑ์ 7.5 แสนบาท แต่ได้รับเงินเพียงค่าเยียวยารายวัน
สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 มีผู้ได้รับเงินเยียวยารวมกว่า 100 คน ราว 50 ล้านบาท โดยหลักเกณฑ์การเยียวยาจะแบ่งเป็นเงินเยียวยากรณีถูกคุมขังวันละ 411 บาท ตามจำนวนวันที่ถูกคุมขัง นอกจากนี้ยังมีเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจ ซึ่งกรณีศาลมีคำสั่งยกฟ้องมีหลักเกณฑ์การเยียวยาด้านจิตใจ กล่าวคือ หากถูกคุมขังเป็นเวลา 90 วัน แต่ไม่เกิน 180 วัน ให้ได้รับเงินเยียวยา 7.5 แสนบาท ถูกคุมขังมากกว่า 180 วันขึ้นไป จะได้รับเงินเยียวยา 1.5 ล้านบาท
ทีมทนาย"เอกยุทธ"พอใจ "บิ๊กแจ๊ด" คลี่13ปมสังหาร
ทีมทนายความ "เอกยุทธ" พอใจ น.1 ตอบคำถาม 13 ประเด็นข้อสงสัย แต่ยังติดใจมูลเหตุการสังหารว่าไม่น่าเป็นเรื่องชิงทรัพย์ และฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่ยังหาไม่พบ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตร. พล.ต.ต.อภิรัตน์ ปรักมะกุล ผบก.กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พ.ต.อ.ชาญ แสงเสียงฟ้า รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ณัฎฐ์ บุรณศิริ นวท.(สบ 4 ) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.3 บก.สส.บช.น. ร่วมกันประชุมและชี้แจงข้อสงสัยใน 13 ประเด็น เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร นักธุรกิจด้านการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ที่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิต ให้กับนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และทีมทนายความที่เดินทางมาร่วมรับฟัง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฏร (กมธ.)ได้ตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับคดีการสังหารนายเอกยุทธ และประเด็นคำถาม 13 ข้อที่ทีมทนายความยังคงสงสัย นั้น ทางคณะพนักงานสอบสวน แพทย์ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ทุกคนพยายามที่จะสืบสวนเพื่อนำข้อเท็จจริงออกมาชี้แจงให้ได้ โดยหลังจากได้คำตอบแล้ว จึงเชิญทีมทนายความของนายเอกยุทธเข้ามารับฟังข้อชี้แจง พร้อมทั้งทำความเข้าใจ ขอให้สบายใจว่าไม่ได้รีบปิดคดี ตำรวจพยายามที่จะทำคดีต่อไป ทั้งหมดทุกประเด็นตำรวจพยายามที่จะสืบสวนให้ได้ครบทุกข้อ แต่ก็ยังเหลือบางประเด็นที่ทั้งตำรวจและทีมทนายความยังไม่ปักใจเชื่อ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ยืนยันว่าคดีมีความคืบหน้าไปเยอะ ยังไม่มีการปิดสำนวนแต่อย่างใด ถ้ามีหลักฐานอื่นก็สามารถนำมาเพิ่มเติมได้
ด้านนายสุวัตร กล่าวว่า การที่ตนเข้ามาปรึกษาปัญหาข้อสงสัยต่างๆกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ และคณะพนักงานสืบสวนและสอบสวนในคดีนี้ เราไม่มีความคิดเห็นอะไรที่ขัดแย้งกัน ประเด็นข้อสงสัย 13 ข้อ ที่เสนอให้สืบสวนเพิ่มเติมนั้นก็เพื่อช่วยเหลือพนักงานสอบสวน ให้ช่วยกันทำงานให้ดีขึ้น ตนและครอบครัวของนายเอกยุทธรู้สึกซาบซึ้งและต้องขอบคุณที่ทุกฝ่ายช่วยกันทำงานด้วยความรวดเร็ว ประเด็นที่สอบถามไปนั้น พนักงานสอบสวนได้ตอบครบ 13 ข้อแล้ว แต่บางข้อได้จากคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ซึ่งตนและพนักงานสอบสวนก็ยังไม่เชื่อ เช่น มูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาให้การว่าประสงค์ต่อทรัพย์ แต่กลับนำทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธไปโยนทิ้ง ทั้งนาฬิกาโลเล็กซ์ เรือนละเป็นล้าน สร้อยคอทองคำ พระสมเด็จเลี่ยมทองเกตุไชโย องค์ละ10-20 ล้านบาท ทำให้ปักใจเชื่อไม่ได้ ซึ่งชุดสืบสวนก็พยายามที่จะค้นหาแล้ว จึงเป็นประเด็นที่จะต้องทำให้กระจ่างต่อไป
นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่บ้านของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็ให้การว่าเอาไปทุบจนแหละละเอียดและนำซากไปโปรยทิ้ง ประเด็นนี้ก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ ส่วนเสื้อผ้าก็ให้การว่าฉีกเป็นชิ้นๆและนำไปโปรยทิ้ง และกระเป๋าหลุยส์วิคตองของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็บอกว่านำไปหั่นเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปทำลาย สิ่งเหล่านี้ทีมทนายความและพนักงานสอบสวนยังไม่เชื่อ ต้องทำการสืบสวนต่อไป ไม่ต้องเร่ง ทำงานไปเรื่อยๆให้ได้ข้อเท็จจริง แต่ถ้าได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จะไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จและจะไม่มีการบีบบังคับใคร คำชี้แจงทั้ง 13 ประเด็นในวันนี้ ทีมทนายความรู้สึกพอใจ และเข้าใจในสิ่งที่ให้คำตอบมา แต่ก็ยังมีบางประเด็นที่ทั้งทีมทนายความและพนักงานสอบสวน ยังไม่เห็นด้วยกับคำรับสารภาพของนายบอล เชื่อว่ายังโกหกอีกหลายประเด็น พนักงานสอบสวนจึงจะทำงานต่อไป
“ในวิชาชีพกฎหมาย ยังไม่มีการให้อำนาจในการแสวงหาพยานหลักฐาน เมื่อคดียังไม่ถึงชั้นศาลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกหมายเรียกหรือทำอะไรได้เลย สิ่งเดียวที่หวังก็คือคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้และกองบังคับการปราบปราม ซึ่งถ้าบช.น.กับกองปราบทำงานร่วมกันแล้วได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ ทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นศาลจะยกฟ้องได้ มีหลายคดีที่มีเพียงแค่คำรับสารภาพอย่างเดียว ซึ่งสุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง” นายสุวัตร กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกับญาติเกี่ยวกับการเผาศพของนายเอกยุทธหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ญาติยืนว่าจะเผาวันที่ 29 มิ.ย. เวลา 17.00 น. ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อถามว่า นอกจาก 13 ประเด็นนี้แล้วมีข้อสงสัยอื่นอีกหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า วันนี้มาฟังคำตอบแล้ว ก็ต้องมีการปรึกษาหารือกับทีมทนายความ และพนักงานสอบสวน เพราะมีเรื่องที่ต้องตามให้ชัดเจน ตราบใดยังไม่ได้ทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธ เราก็จะหยุดตรงนี้ไม่ได้ รวมถึงไม่มีข้อยุติเรื่องกล้องวงจรปิด และจำนวนคนร้ายว่าจำนวน 2 คน 4 คน หรือมากกว่าต้องพิสูจน์ความจริงว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ใน 13 ประเด็นที่ได้รับคำตอบ ตนรู้สึกพอใจเกือบทุกข้อ แต่มีประเด็นที่ยังสงสัย คือ มูลเหตุจูงใจหากประสงค์ต่อทรัพย์เหตุใดเอาทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงไปโยนทิ้งน้ำ และถ้าประสงค์ต่อทรัพย์บังคับนายเอกยุทธ เขียนเช็ค 100 ล้านบาทก็ผ่านไม่จำเป็นต้อง 5 ล้านบาทต้องได้มากกว่านี้ กรณีฮาร์ดดิสก์ไม่เชื่อจะนำไปทุบแล้วโปรยทิ้งเหมือนเศษกระดูกเพราะส่วนประกอบของฮาร์ดดิสก์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีหลายอย่างที่ทุบทำลายมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้ รวมทั้งกระเป๋าเอกสาร และเสื้อผ้า
นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ส่วนการตรวจรถโฟล์คที่คนร้ายนำไปล้างในราคา 4,900 บาท ทางเจ้าหน้าที่พฐ.ตรวจได้แค่นี้ตนต้องขอบคุณอย่างสูงแล้ว เจตนาที่คนร้ายนำรถล้างพนักงานสอบสวนก็ต้องหาคำตอบต่อไป ทั้งชีวิตตนก็มีเงินพอสมควรไม่เคยล้างรถราคา 4,900 บาทเพราะตนทำใจไม่ได้ นอกจากนี้นายบอลไปซื้อกางเกงยีนส์ 3 ตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ออกมาเลย 1 ตัว วางแผนเอาเงินไปได้ 5 ล้านบาทแต่ดันเข้าไปในห้างโลตัสให้กล้องวงจรปิดจับภาพได้ และเสื้อผ้าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนเป็นเรื่องที่ต้องตามต่อไป
เมื่อถามว่า จะไปพูดคุยกับนายบอลที่เรือนจำหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ตนพยายามที่จะเข้าไปจุดนั้นเพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ตนเข้าไปนึกหรือว่านายบอลจะให้ความร่วมมือเป็นไปไม่ได้เลย ขนาดอยู่ข้างนอกนายบอล ยังโกหกตนพอจับได้ก็โกหกต่ออีก จึงไม่มีทางได้รับความร่วมมือจากนายบอล กรณีดังกล่าวเป็นความสามารถของพนักงานสอบสวนที่เรียนวิธีการสอบสวนมาว่าจะเชื่อหรือไม่ ถ้าผู้ต้องหาโกหกจะไล่อย่างไรระดับนายพลแล้วเราต้องไว้ใจ และจะไม่ขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นมาร่วมตรวจสอบ ดีเอสไอ ตนไม่เอาเลย ให้ไปไกลๆ เลย ตนไม่ขอหน่วยงานอื่นแต่ก่อนหน้านี้ลูกชายของนายเอกยุทธ เคยร้องขอทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับเรื่องขอตรวจรถ และตรวจศพนายเอกยุทธ โดยจะให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ตรวจตนก็ให้นัดกันเอาเอง แต่ญาติยืนยันว่าถ้าต้องมีการผ่าศพอีกก็ไม่ยอมจะให้ตรวจแต่เพียงภายนอก และมีการสงสัยเรื่องลูกอัณฑะบวมขึ้นเพราะอะไร โดยแพทย์ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเกิดจากบีบธรรมดาหรือไม่
ยื่นสอบอีก8ประเด็น"ปู่เณรคำ"กับพวกเข้าข่ายทำผิดก.ม.
ปธ.เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติฯ ยื่นกองปราบสอบอีก 8 ประเด็น "ปู่เณรคำ" กับพวก เข้าข่ายทำผิดกฏหมาย หลังก่อนหน้านี้ได้ยื่นให้ตรวจสอบการกระทำแล้ว 13 ประเด็น
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม กรณีหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่มีการกระทำที่เข้าข่ายขัดต่อพระธรรมวินัย และเป็นความผิดคดีอาญาหลายประเด็น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยเข้าร้องเรียนขอให้ บก.ป.ตรวจสอบการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย และขัดต่อกฎหมายไว้แล้ว 13 ประเด็น โดยทำหนังสือร้องเรียน พร้อมกับนำภาพถ่ายและเอกสารต่างๆ อาทิ คำให้การต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ใบประเมินราคาทองคำจากผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ มอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินการ
นายสงกรานต์ กล่าวว่า จากกรณีพระวิรพล สุขผล หรือ หลวงปู่เณรคำ ร่วมกับบริษัท ขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด และพวก ได้กระทำการที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา หลายประเด็น ซึ่งตนเคยเข้าร้องเรียนให้ทาง บก.ป.ตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้แล้ว 13 ประเด็น ขณะนี้ ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบการกระทำที่น่าจะเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติมอีก 8 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การออกใบสำคัญรับเงิน หรืออนุโมทนาบัตร หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงว่าได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากการบริจาค หรือเรี่ยไร ของหลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ มีหรือไม่ 2.บุคคล หรือนิติบุคคล ที่หลงเชื่อโฆษณาการจัดสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ของหลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ นั้น มีหลักฐานการส่งมอบทรัพย์สินต่างๆ หรือไม่ เช่น ใบนำฝากเงิน สลิปการโอนเงิน ฯลฯ 3.ผู้รับเหมาก่อสร้างองค์พระแก้วมรกต หรือถาวรวัตถุในสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ และสาขาอื่นๆ ได้จดแจ้งสถานะของสำนักสงฆ์เป็นเช่นไร เกี่ยวกับสถานะการจัดสร้างองค์พระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ว่าได้รับพระบรมราชานุญาต แล้วหรือไม่
4.ทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้รับบริจาค หรือเรี่ยไร หลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ ได้นำไปมอบให้ หรือยักย้าย ถ่ายเท หรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยใช้ชื่อบุคคล หรือนิติบุคคล เป็นผู้ถือครอง หรือมีผู้ถือกรรมสิทธิแทนหรือไม่ 5.การขอรับเงินบริจาค หรือเรี่ยไร ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ และหากได้รับอนุญาต มีระยะเวลากำหนดเริ่มต้นและสิ้นสุดเมื่อใด ตลอดจนในใบอนุญาตก็จะต้องระบุปริมาณเงินที่ประสงค์จะรับบริจาค หรือเรี่ยไร ไว้ด้วย โดยใบอนุญาตดังกล่าวจะออกโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 6.การใช้ชื่อ รพ.ร้อยเอ็ด รับเงินบริจาค หรือเรี่ยไร โดยมีชื่อหลวงปู่เณรคำ ในการโฆษณารับบริจาคเพื่อสร้างอาคารสูง มีการเปิดบัญชีธนาคาร โดยทาง ผอ.รพ.ดังกล่าว มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ และจำนวนเงินในบัญชีมีเท่าใด รวมทั้งได้นำเงินไปใช้ตามที่โฆษณาไว้หรือไม่
7.การใช้ชื่อวัดป่าขันติธรรม ไปโฆษณาชวนเชื่อหรืออวดอ้างต่อประชาชน โดยรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีสถานะเป็นวัด แต่อย่างใด และยังไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีชื่อเป็นวัดป่าขันติธรรม โดยให้ประชาชนหลงเชื่อบริจาคเงิน หรือทรัพย์สิน จึงเป็นการเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ประชาชนทราบ ทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนได้รับความเสียหาย และ 8.เรื่องของการรับเงิน และทรัพย์สินที่เกิดความเสียหายชัดแจ้ง ปรากฎพยานหลักฐานจาก 2 กรณี คือ 8.1 กรณีการจัดพิธี “มหากฐินทาน” โดยจัดทำต้นกฐินสูง 9 เมตร 36 ต้น ได้รับเงินบริจาคกว่า 100 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 และ 8.2 หลวงปู่เณรคำ ได้กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหารคลุมองค์พระแก้วมรกต ระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2554 มีใจความว่า ทองคำที่รับบริจาคมากว่า 2 ปี มีจำนวนกว่า 8,000 กิโลกรัม จึงได้ประสานร้านทองคำซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญให้คำนวณปริมาณทองคำกับราคาขาย ซึ่งพบว่า ทองคำกว่า 8,000 กิโลกรัม นั้น มีมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมในครั้งนี้ อยากให้ทางตำรวจ บก.ป.ช่วยสืบสวนสอบสวน และหากพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดคดีอาญา ก็ขอดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามความผิดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดในฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ขณะที่ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้โดยจะเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่มีการร้องเรียนดังกล่าว เบื้องต้นได้มอบหมายพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ อย่างไรก็ดี ทางตำรวจ บก.ป.ยืนยันว่าพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะมีการแจ้งผลการสืบสวนสอบสวนประเด็นต่างๆ ให้ทราบต่อไป
คุณตารักษ์โลกปลูกดอกไม้ริมทางแทนคิดถึงเมีย
พบคุณตารักษ์โลก วัย 86 ปี ใช้บั้นปลายชีวิตปลูกดอกไม้ไว้ริมถนนเข้าหมู่บ้านและหน้าบ้านจนสวยงาม สร้างความชื่นชอบแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา เป็นการออกกำลังกาย อยากให้ท้องถิ่นงดงาม และแทนคิดถึงเมียที่ล่วงลับไปแล้ว
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. มีคุณตาที่ชื่นชอบปลูกดอกไม้บริเวณหน้าบ้านตนเอง และถนนสายเข้าหมู่บ้านยาวกว่า 800 เมตร หมั่นดูแลรักษาจนสวยงารม จนชาวบ้านหลายคนต้องนำเป็นแบบอย่าง นำกล้าดอกไม้ไปปลูกหน้าบ้านกันจำนวนมาก สร้างความงดงามให้กับท้องถิ่น ที่ถนนสายวัดดงแตง-ท่าหมื่นราม หมู่ 3 ต.หนองพระ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
นายบุญเพ็ญ สุขเกษม อายุ 86ปี อยู่บ้านเลขที่ 447 หมู่ 3 บ้านหนองพระ ต.หนองพระ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ น.ส.ประภาศรี สุขเกษม อายุ 56 ปี ลูกสาว โดยบ้านของคุณตาบุญเพ็ญพบว่าตั้งแต่หน้าปากซอยจากถนนสายหลัก ถนนสายวังทอง-สากเหล็ก ทางเข้าหมู่บ้าน และถนนสายวัดดงแตง-ท่าหมื่นราม มีดอกแพงพวย ออกดอกสีม่วง อมชมพู สลับสีขาวสวยงาม ทอดตัวยาวริบสายตาริมถนนทั้งสองข้างทาง โดยมีคุณตาบุญเพ็ญ กำลังดูแดดอกไม้ ปลูกต้นไม้ ถอนหญ้า และโรยเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ แทรกไปจนเต็มพื้นที่ 2 ฝั่งถนน
คุณตาบุญเพ็ญ เปิดเผยให้ฟังว่า ครอบครัวคุณตามีลูก ๆ ทั้งหมด 9 คน ทุกคนมีงานทำและแยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ตนพักอาศัยกับลูกสาว และพอภรรยาเสียเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ตนคิดถึงแต่ภรรยาและไม่รู้ทำอย่างไร จึงหันไปปลูกดอกไม้หน้าบ้าน และถนนทางเข้าหน้าปากซอย อีกทั้งชื่นชอบดอกไม้อยู่แล้ว จึงอาศัยเวลาว่างปลูกดอกไม้ เพื่อความสวยงามและร่มรื่น โดยเฉพาะดอกแพงพวย สีชมพู สีขาว ดอกดาวกระจาย ดอกพุด ดอกชบา ซึ่งตอนแรกชาวบ้านเห็นตนเองปลูกดอกไม้ริมถนนหนทาง ก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อต้นไม้ที่ปลูกออกดอก เพื่อนบ้านต่างยิ้มแย้มและทักทายตนเป็นประจำ และบางครั้งมาขอพันธุ์กล้าดอกไม้ไปปลูกที่บ้าน และถนนเส้นอื่น ๆอีกด้วย
ด้านน.ส.ประภาศรี สุขเกษม บุตรสาว กล่าวว่า เห็นคุณพ่อปลูกต้นไม้มานานแล้ว และทำเป็นกิจวัตรประจำวันทุกวัน เช้ามาก็มาโรยเมล็ดพันธุ์และถอนวัชพืช ช่วงนี้ฝนตกก็เบาการลดน้ำหน่อย แต่ต้องคอยดูแลวัชพืชตลอดเวลา เป็นการออกประจำกายทุกวันของคุณพ่อ เมื่อเพื่อนเห็นบ้านหรือขับรถผ่านเมื่อไรก็จะทักทายคุณพ่อเสมอ บางคนบอกว่าสวยงามมาก บางคนก็ขอกล้าดอกไม้ไปปลูก ซึ่งคุณพ่อก็ไม่หวงห้ามแต่อย่างใด แถมยังส่งเสริมให้ไปปลูกตามพื้นที่ต่าง เพื่อความสวยงามตามธรรมชาติอีกด้วย
บุกตรวจโรงสีเชียงรายข้าวล่องหนนับพันตัน
บุกตรวจโรงสีเชียงราย ข้าวหายล่องหนนับพันตัน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผวจ.เชียงราย พร้อมด้วย พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณ ศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย และเจ้าหน้าที่อตก. และ อคส. เจ้าหน้าที่กรมการภายใน จ.เชียงราย นำกำลังเข้าตรวจสอบข้าว ภายในโรงสี ที พี เอ็น ไรซ์มิล จำกัด ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย หลังได้รับแจ้งจากคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งเป็นชุดตรวจค้นว่าพบสิ่งผิดปกติภายในโกดังเก็บข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวนาปรังประจำปี 2555/2556 ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งแปลกปลอมปนในถุงข้าว ยังพบว่าอาจมีข้าวหายไปกว่า 1,000 ตัน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผวจ.เชียงราย พร้อมด้วย พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณ ศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย และเจ้าหน้าที่อตก. และ อคส. เจ้าหน้าที่กรมการภายใน จ.เชียงราย นำกำลังเข้าตรวจสอบข้าว ภายในโรงสี ที พี เอ็น ไรซ์มิล จำกัด ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย หลังได้รับแจ้งจากคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งเป็นชุดตรวจค้นว่าพบสิ่งผิดปกติภายในโกดังเก็บข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวนาปรังประจำปี 2555/2556 ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งแปลกปลอมปนในถุงข้าว ยังพบว่าอาจมีข้าวหายไปกว่า 1,000 ตัน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีสิ่งแปลกปลอม ลักษณะเป็นแกลบอัดแท่ง และข้าวคุณภาพต่ำ มีลักษณะเหมือนข้าวเก่า บางส่วนมีราดำขึ้น และมีมอดข้าวปะปน ขณะที่ บางส่วนเป็นข้าวสีแดง นอกจากนี้พบแกลบอัดแท่งอยู่ในจุดที่ลึกสุด และถัดมาเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ส่วนด้านหน้าเป็นข้าวขาว จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน
ด้าน นายณัฐพล พฤษถาพร เจ้าของโรงสีกล่าวยืนยันว่า ข้าวที่รับจำนำจากเกษตรยังมีอยู่ครบ โดยรับจำนำข้าวเปลือกไว้จำนวน 2 หมื่นตัน แต่ได้แปรรูปเป็นข้าวสารแล้ว 1 หมื่นตัน ส่วนข้าวที่ไม่มีคุณภาพเป็นข้าวที่ทางโรงสีคัดแยกออกจากข้าวปกติ เพราะเป็นข้าวที่ไม่ดี และไม่ได้เป็นข้าวอยู่ในโครงการรับจำนำ ขณะที่แกลบอัดแท่งเป็นสิ่งที่ทางโรงสีผลิตขึ้น เพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน คนงานจึงนำมาเก็บรวมกันกับข้าวที่รับจำนำ
ขณะที่ นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว่า ตามหลักแล้วข้าวที่รับจำนำควรแยกออกจากข้าวของโรงสีข้าว ไม่ควรนำมาปะปนกัน ส่วนกรณีข้าวที่หายไปกว่า 1,000 ตัน ล่าสุดได้สั่งให้มีการตรวจสอบใหม่อย่างละเอียดแล้ว เพราะโรงสีแห่งนี้มีที่เก็บข้าวถึง 7 โกดัง แต่นับได้เพียง 4 โกดัง จึงไม่ทราบจำนวนทั้งหมด หากตรวจนับไม่ครบจำนวนจะดำเนินคดี ส่วนกรณีข้าวไร้คุณภาพนั้น ต้องดูจำนวนที่รับจำนำก่อนว่า ข้าวจำนวนเหล่านี้ไปรวมอยู่หรือไม่ หากรวมจะต้องให้หน่วยงานที่เชี่ยวชาญมาตรวจสอบต่อไป
ทางด้าน พล.ต.ต.วันชัย กล่าวว่า ตำรวจมีหน้าที่ในการตรวจปริมาณข้าวเท่านั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณภาพข้าว และหากพบว่ามีปริมาณครบ จะบันทึกว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่หากเป็นกรณีของโรงสี ทีพีเอ็นไรท์มิล จำกัด ซึ่งปริมาณข้าวยังไม่ตรงกับปริมาณที่รับจำนำ ทำให้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นยังเซ็นรับรองไม่ได้ว่าข้าวอยู่ครบจำนวนหรือไม่.
นร.หญิงฉาวหนีเรียน ตั้งวงก๊งเหล้าเมากลิ้ง
ศูนย์เสมารักษ์โคราชสอบสวนคลิปนักเรียนพลอดรักริมถนน วอนประชาชนแจ้งเบาะแสนักเรียนหนีเรียน พฤติกรรมมั่วสุม สร้างความรำคาญ ที่สายด่วน 1579 เพื่อระงับเหตุก่อนบานปลายกลายเป็นปัญหาสังคมรุนแรง
หลังจากเดลินิวส์นำเสนอภาพข่าวและคลิปวิดีโอ เป็นภาพนักเรียนหญิงระดับมัธยมในชุดเครื่องแบบ พลอดรักกับแฟนหนุ่ม ริมถนนสาธารณะ ทางไปสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (สนามซีเกมส์) อ.เมือง จ.นครราชสีมา จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์คกันอย่างกว้างขวางนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. นายสมบัติ สังวร ประธานพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (พสน.) ศูนย์เสมารักษ์โคราช เปิดเผยว่า หลังจากเรื่องนี้ตกเป็นข่าวอื้อฉาว ได้มีชาวบ้านร้องเรียนให้ศูนย์ไปช่วยตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่อจริง โดยฝ่ายหญิงเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ส่วนฝ่ายชายไม่ได้เรียนหนังสือ และทั้งคู่มีปัญหาพ่อแม่ยากทางกัน ขณะที่ฝ่ายหญิงเพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ ทางโรงเรียนได้เรียกนักเรียนมาตักเตือนและเชิญผู้ปกครองมาพบแล้ว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์เสมารักษ์ได้รับแจ้งให้เข้าไประงับเหตุเด็กนักเรียนหญิงหนีเรียนมามั่วสุมดื่มสุราในสาธารณะแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองนครราชสีมา จึงเข้าไปพูดคุยตักเตือนและควบคุมตัวส่งให้ทางโรงเรียนดำเนินการตามกฎระเบียบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ พฤติกรรมในทางเสื่อมเสียของเด็กนักเรียนในตัวเมืองนครราชสีมา จากสถิติการรับแจ้งและเข้าระงับเหตุเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา มี 1,318 คน ส่วนในปีนี้มีเด็กนักเรียนกระทำผิดในหลายรูปแบบเฉลี่ย 40-50 คนต่อเดือน
“อย่างไรก็ตาม ปัญหาพฤติกรรมในทางลบของเด็กนักเรียน ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่อง หากพบเห็นเด็กนักเรียนหนีเรียนไปแอบมั่วสุมในสถานที่ใดก็ตาม ขอให้แจ้งมาที่ศูนย์เสมารักษ์โคราช ได้ที่สายด่วน 1579 ทางศูนย์มีเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและระงับเหตุได้ทันท่วงที และหากทุกคนไม่ช่วยกัน ทั้งโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน ต่างฝ่ายต่างปล่อยปละละเลย ปัญหาเด็กนักเรียนนอกแถวก็อาจจะกลายเป็นต้นตอของปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาภายหลัง เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด ท้องก่อนวัยอันควร และการทำแท้งเป็นต้น”.นายสมบัติ กล่าวทิ้งท้าย.