ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
www.becomz.com

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ รามคำแหง

เปิดบริการซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงที่สะดวกรวดเร็ว ด้วยทีมงานช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ มืออาชีพ ประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่จะไปบริการซ่อม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน วัด โรงเรียน ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ โดยคิดอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 400 บาทต่อเครื่องเท่านั้น

การให้บริการ

หากลูกค้ายืนยันการซ่อมแล้วทางเราออกเดินทาง ไปแล้วยกเลิกการซ่อมในขณะที่ทางเราเดินทางไปถึงแล้วจะต้องเสียค่าเสียเวลาและการเดินทาง 400 บาท

พื้นที่ที่บริการ

ซ่อมคอมนอกสถานที่,ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106 เริ่มต้นที่ 400บาท/เครื่อง (ปล. ให้บริการเฉพาะเขตพื้นที่ รามคำแหง บางกะปิ นวมินทร์ เสรีไทย ลาดพร้าวเฉพาะ บริเวณ จากเดอะมอลบางกะปิถึงโชคชัย 4 )

อัตราค่าบริการ becomz

ติดต่อ : TaNDesgin โทร. 095-219-0106 www.i-comz.com

บริการหลังการซ่อม โดย www.i-comz.com

ทุกงานซ่อมรับเราประกัน 1 สัปดาห์เต็ม หากปัญหาเดิมยังอยู่ เราจะไปบริการซ่อมให้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยใบ้บริการกับทาง www.i-comz.com เรามีบริการซ่อมคอมออนไลน์ฟรีให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่า

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อีกระลอก!บึ้มห้างดังนราธิวาสไฟลุกโชน





โจรใต้วางระเบิดห้างดังนราฯไฟลุกโชน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกดังกล่าว ต่างพากันอพยพข้าวของที่จำเป็นหนีไฟกันอย่างอลหม่าน เร่งสกัดต้นเพลิงแต่ยังไม่เป็นผล คาดเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับนักช็อปคนอื่น
เมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณภายในซุปเปอร์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ซึ่งเป็นห้างดังขนาดใหญ่ที่สุดของจ.นราธิวาส ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถ.จำรูญนรา เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส โดยต้นเพลิงเกิดขึ้นที่บริเวณด้านหลังของห้าง จากนั้นไฟได้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว จนลามไปกินส่วนต่างๆของอาคาร ซึ่งติดอยู่กับบ้านเรือนประชาชน จนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกดังกล่าว ต่างพากันอพยพข้าวของที่จำเป็นหนีไฟกันอย่างอลหม่าน
 
ต่อมา นายเถลิงศักดิ์ ยกศิริ นายอำเภอเมืองนราธิวาสได้ เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และเป็นผู้ควบคุมการดับไฟ โดยได้ขอสนับสนุนรถดับเพลิงจากพื้นที่ อ.ยี่งอ และ อ.ตากใบ รวมทั้งสิ้นกว่า 40 คัน ก่อนกระจายกำลังกันสกัดกั้นต้นเพลิง แต่ยังไม่เป็นผล เนื่องจากในห้างมีสินค้าและวัตถุที่ติดไฟง่าย เพลิงจึงลุกโชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพยายามอย่างหนัก แต่สุดท้ายก้ยังไม่เป็นผล
 
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้แฝงตัวปะปนกับชาวบ้านทำทีเข้าไปซื้อสินค้าเมื่อสบโอกาสคนร้ายได้วางระเบิดไว้โดยซุกซ่อนไว้บริเวณข้างกองบรรจุสินค้าที่เก็บไว้เป็นสต๊อกแต่ถึงอย่างไรก็ตามหาดเพลิงสงบลงในวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
Share:

“ทักษิณ” ยก “ยิ่งลักษณ์”ผลงานฉลุย ย้ำการปฏิวัติเกิดขึ้นได้ตลอด


วันนี้ ( 31 ส.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ว่า ให้คะแนนการทำงานรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 60 - 70 เพราะรัฐบาลต้องทุ่มเทในเรื่องน้ำท่วม จนทำให้อีกหลายเรื่องต้องสะดุด พร้อมกันนี้ยังชม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เก่งกว่าที่คิดไว้ ทุ่มเทและคล่องตัวขึ้นมาก รวมทั้งยังมีภาวะผู้นำ ไม่ใช่ Public Prime Minister ของใคร ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการเชื่อมโยงข้อมูลกับนายกรัฐมนตรีบ้าง เรื่องตัวบุคคลที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสอบถามมาบางครั้ง แต่ไม่เคยเถียงหรือขัดแย้งกัน เพราะนายกรัฐมนตรี มีอิสระที่จะเลือก จากนี้ต่อไปเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องทำงานหนักขึ้น เพราะยังมีรัฐธรรมนูญที่จ้องล้มรัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแนะนำให้รัฐบาลอดทน ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่แม้จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำไม่ถูกนัก แต่รัฐบาลก็ควรต้องอดทนเพื่อไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า การปฏิวัติยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่เห็นว่าทำไปก็ไม่คุ้ม และไม่อยากให้เกิดขึ้น
         
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวยืนยันว่า โครงการจำนำข้าวไม่ได้มีการทุจริต และกล้ายืนยันว่า การจำนำข้าวดีกว่าการประกันราคา แต่ถ้าพบว่า โครงการทุจริต ให้รัฐบาลลงโทษได้เลย ส่วนราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลกนั้น จะเป็นผลดี ทำให้คนมาซื้อข้าวที่ไทย เพราะทราบว่าไทยมีสต๊อกข้าว ซึ่งรัฐบาลไม่ได้แกล้งผู้ส่งออก แต่แค่ให้ปรับตัวและช่วยเกษตรกรเท่านั้น เช่นเดียวกับนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรกที่จำเป็นต้องทำ เพราะปัจจัย 4 เปลี่ยนไป ส่วนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ แนะนำว่า เอกชนควรเปลี่ยนวิธีคิด และปรับกลยุทธ์มากกว่าโจมตีรัฐบาล พร้อมปฏิเสธว่า โครงการกองทุนต่างๆ เป็นการสร้างหนี้แต่ยืนยันว่า เป็นการสร้างโอกาส.
Share:

“แจ๊ด”สั่งลุยจับคดีค้างเก่าได้กว่า 600 หมาย


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.พร้อมรอง ผบช.น. แถลงข่าวโครงการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า ของ บช.น. ระหว่างวันที่ 27-31 ส.ค. เพื่อลดสถิติหมายจับค้างเก่าที่มีมากว่า 5 หมื่นหมายจับ
 
โดยผลการจับกุมแบ่งเป็น บก.น.1 จับ 62 หมาย บก.น.2 จับ 77 หมาย บก.น.3 จับ 48 หมาย บก.น.4 จับ 51 หมาย บก.น.5 จับ 46 หมาย บก.น.6 จับ 52 หมาย บก.น.7 จับ 66 หมาย บก.น.8 จับ 68 หมาย บก.น.9 จับ 64 หมาย บก.สส. จับ 38 หมาย กก.สายตรวจ จับ 34 หมาย และกก.ดส. จับ 7 หมาย รวมจับได้ 613 หมาย พร้อมของกลางที่จับกุมได้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ประกอบด้วย บก.น.1 จับปืน 1 กระบอก บก.น.4 จับยาบ้า 136,000 เม็ด อาวุธปืน 1 กระบอก บก.น.5 จับปืน 2 กระบอก บก.น.6 จับปืน 4 กระบอก และบก.น.9 จับยาบ้า 3,120 เม็ด ปืน 10 กระบอก ระเบิด 12 ลูก และยาเสพติดรายย่อย 71 ราย
 
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า หมายจับค้างเก่าของ บช.น. มีกว่า 5 หมื่นหมาย ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา จึงให้ระดมจับกุม ที่ไม่ได้ให้ข่าวตั้งแต่ต้น เนื่องจากเกรงว่าพวกที่รู้ตัวว่ามีหมายจับจะหลบหนี หรือรู้ตัว ซึ่งการระดมจับได้  613 หมาย ได้ผู้ต้องหากว่า 600 คน นอกจากนี้ยังปิดล้อมตรวจค้นได้ยาบ้า อาวุธปืน และของกลางอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องขอบคุณทุก บก.และตำรวจทุกคนที่ให้ความร่วมมือในโครงการนี้ ต่อไปจะทำอีก แต่อาจไม่เป็นข่าว โดยช่วงต่อจากนี้ 5 วันจะระดมอีก เนื่องจากเห็นว่าอาชญากรรมลดลงชัดเจน  เชื่อว่าคุมคดีอาชญากรรมในนครบาลได้.
Share:

ป.รวบสาวอุซเบฯลวงเหยื่อค้ากาม


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.แถลงข่าวจับกุม น.ส.มูนิซ่า ลาซูโลวา (MISS RASULOVA MUNISA) อายุ 26 ปี สัญชาติอุซเบกิสถาน ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อการค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี จับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 34/29-30 ชั้น 7 คอนโดมิเนียมไม่มีชื่อ เลขที่ 34/5 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.
พร้อมกันนั้นได้เข้าช่วยเหลือหญิงสาวชาวอุซเบกิสถานที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 6 คน โดยพาตัวส่งบ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี 3 คน เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ ส่วนหญิงสาวชาวอุซเบกิสถานอีก 3 คน พบว่าหนังสือเดินทางขาดอายุจึงนำตัวส่งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ดำเนินคดี
สอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ร่วมกระทำผิดอีกคนคือ นางโนซานี เอสลาวา (MISS NOZANI ASLIEVA) ชาวอุซเบกิสถาน พนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับไว้แล้ว แต่ในขณะออกติดตามตัว ผู้ต้องหารายนี้ไหวตัวทันหลบหนีไปได้.
Share:

ทหารปืนโหดยิงเมียผช.พยาบาลดับตัวเองโคม่า









พลอาสาสมัครสารวัตรทหาร จ่อยิงเมีย “ผช.พยาบาล” ดับหลังทะเลาะกันดุเดือด ก่อนยิงเสยคางฆ่าตัวตายตามภรรยา แต่มัจจุราชยังยื้อไว้ให้โคม่า
วันนี้ (31 ส.ค.) พ.ต.ท.ชาติชาย วงศ์ปัญญา สารวัตรเวรสภ.เขาวิเศษ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง รับแจ้งเหตุคนถูกยิงเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บ้านเลขที่ 185/6 หมู่6 บ้านไสปุด ต.เขาวิเศษ  ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นบ้านเรือนไทย 2 ชั้น ครึ่งไม้ครึ่งปูน พบชาวบ้านกำลังยืนจับกลุ่มวิจารณ์
ตรวจสอบพบกองเลือดกระจายพื้นชั้นล่าง ใกล้กันพบปืนกล็อก ขนาด 9 มม. มีเลขทะเบียนอนุญาตเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 กระบอก และปลอกกระสุนปืน 2 ปลอก  ส่วนผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 2 ราย  ญาตินำส่งรพ.วังวิเศษ ไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อน.ส.จิราวรรณ นามจันทร์ อายุ 28 ปี อาชีพผู้ช่วยพยาบาล รพ.วัฒนาแพทย์ จ.ตรัง ถูกจ่อยิงเข้าขมับซ้ายทะลุขวา สิ้นใจระหว่างนำส่งรพ.ฯ และพลอาสาสมัครสห.สราวุธ  อ่อนรู้ที่ อายุ 35 ปี ชาวต.เขาวิเศษ เป็นทหารสังกัดค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช  มีบาดแผลถูกยิงเข้าใต้คาง อาการโคม่า แพทย์ย้ายจากรพ.อำเภอวังวิเศษ  รักษาต่อรพ.ศูนย์ตรัง
สอบสวนทราบว่า  บ้านหลังเกิดเหตุเป็นบ้านพี่สาวพลอาสาสมัคร สห.สราวุธ โดยผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นสามีภรรยากัน มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 4 ขวบ ก่อนเกิดเหตุทั้งสองมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง เนื่องจากภรรยาไม่พอใจที่สามีไม่ค่อยมีเวลาดูแล หลังจากภรรยาประสบอุบัติเหตุ ล้มรถจยย.ข้อเท้าแตก เนื่องจากต้องทำงานที่ค่ายฯ ฝ่ายภรรยาแสดงท่าทีประชดเก็บข้าวของและเสื้อผ้า ไปบ้านพี่สาวซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน และโทรศัพท์ขอร้องให้ญาติฝ่ายสามีไปส่งที่คิวรถตู้เขาวิเศษ-ตรัง เพื่อกลับบ้านเกิด จ.ระนอง ส่งผลให้สามีไม่พอใจบันดาลโทสะชักปืนพกออกมาจ่อยิงศีรษะ 1 นัด ก่อนใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงใต้คางตัวเอง  หวังปลิดชีพตายตาม 
ล่าสุดอาการยังไม่พ้นขีดอันตรายเนื่องจากกระสุนโดนจุดสำคัญ   เบื้องต้นตำรวจมุ่งประเด็นความหึงหวง เพราะมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามจะเรียกญาติพี่น้องของสองฝ่ายมาสอบสวนอีกครั้ง  เพื่อเป็นข้อมูลประกอบรูปคดีต่อไป.
Share:

ป.ป.ท.สอบนายทุนรุกป่าเลย-ชัยภูมิเกือบ2หมื่นไร่






ป.ป.ท.ลงพื้นที่สอบนายทุนฮุบที่ป่าสงวนแห่งชาติภูหลวง จ.เลย – ภูแลนคา จ.ชัยภูมิ ปลูกยางพารา บ้านพักหรู เกือบ 2 หมื่นไร่
วันนี้ (31ส.ค.)  พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)  กล่าวว่า  ป.ป.ท ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติเพื่อปลูกสวนยางพารา และสร้างบ้านพักตากอากาศ  โดยพบการบุกรุกในจ.เลย และจ.ชัยภูมิ   ในจ. ชัยภูมิ เป็นการบุกรุกพื้นที่เขตป่าสงวน ป่าภูแลนคาด้านทิศเหนือซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 233 (พ.ศ.2510) ครอบคลุม อ.ภูเขียว แก้งค้อ และอ.เกษตรสมบูรณ์  โดยเข้าไปแผ้วถางป่าบริเวณกว้าง  และปลูกยางพารา รวมถึงก่อสร้างบ้านพักหรู ทั้งที่สภาพเป็นเขาสูงชันและยังเป็นแหล่งต้นน้ำห้วยคี และแหล่งต้นน้ำลำประทาว ไหลลงแม่น้ำชี 
นอกจากนี้ยังพบการเผาป่าขยายพื้นที่เตรียมปลูกยางพาราเพิ่ม รวมพื้นที่บุกรุกไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่  เบื้องต้นยังไม่ขอออกเอกสารสิทธิ  แต่ถูกบุกรุกมานานกว่า 10  ปี ป.ป.ท. ประสานกรมป่าไม้ดำเนินการกับผู้บุกรุก  หากไม่ดำเนินการป.ป.ท.จะเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157  นอกจากนี้ยังพบประเด็นต้องสงสัยว่าพื้นที่บุกรุกอยู่ไม่ไกลจากหน่วยป่าไม้ เหตุใดเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงไม่เข้าดำเนินการใด ๆ  ปัจจุบันสวนยางพารามีอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี กรีดน้ำยางขายได้แล้ว
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูหลวงและป่าภูหอ ซึ่งประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 643 (พ.ศ. 2517) ครอบคลุม อ.ภูหลวง จ.เลย  พบเอกชนเข้าไปปลูกบ้านหรูอยู่บนยอดเขาและตัดถนนเข้าพื้นที่  ป.ป.ท.จึงสอบถามสำนักทรัพยากรธรรมชาติ จ.เลย ได้รับคำตอบว่าเป็นเขตป่าอนุรักษ์โซนซี  ห้ามบุกรุกและห้ามทำเกษตรเด็ดขาด แต่ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติป่าภูหลวงถูกแผ้วถาง ปรับหน้าดินกลายเป็นภูเขาหัวโล้น  เตรียมพื้นที่ปลูกยางพารา ไม่ต่ำว่า 10,000 ไร่  ในสัปดาห์หน้าป.ป.ท.จะประสานนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจป่าภูหลวงและภูแลนคาว่าถูกบุกรุกปลูกสวนยางพาราไปแล้วกี่ไร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายให้รื้อสวนยางพาราออก
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า สำหรับจ.เลย เป็นป่าสูงชัน ป.ป.ท.ยังพบการบุกรุกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตป่าภูผาขาวและภูผายา  ซึ่งประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1101 (พ.ศ. 2528) ครอบคลุมอ.ผาขาว จ.เลย จากการตรจสอบพบญาติอดีตผู้บริหารระดับสูง จ.เลย บุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ผาสูงชันรวมพื้นที่ที่บุกรุกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ หลังจากนี้ป.ป.ท.จะเข้าตรวจสอบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ทับเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดต่อหน้าที่ และเน้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 
พ.ต.อ.ดุษฎี  กล่าวเพิ่มเติมว่า ป.ป.ท.จะเร่งรัดแก้ปัญหาการบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อปลูกยางพารา  เนื่องจากระยะหลังพบนายทุนในภาคใต้มีพฤติการณ์บุกรุกป่าสงวนทั้งในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ   โดยแผ้วถางป่าเพื่อปลูกยางพาราจะส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และในกรณีที่ฝนตกหนักดินจะอุ้มน้ำไม่ได้เกิดปัญหาดินถล่มตามในหลายจังหวัด จากนั้นก็จะตั้งเบิกงบภัยพิบัติเพื่อทุจริตวงเงินงบประมาณกันอีก กลายเป็นวงไม่สิ้นสุด.
Share:

อาเซียนผนึกกำลังปี58ปลอดยาเสพติด




อาเซียนร่วมใจเป็นเขตปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 เน้นสกัดกั้นทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค พร้อมปราบปรามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง จับตาพม่ามากที่สุด
วันนี้ (31 ส.ค. ) ที่โรงแรมแชงกรีลา  สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านยาเสพติดโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มาต้อนรับผู้เข้าประชุมในฐานะประเทศเจ้าภาพและหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดและฝากข้อคิดเห็นกับประเทศพม่าเป็นพิเศษในเรื่องสารตั้งต้น แหล่งผลิตยาเสพติดทางท่าขี้เหล็ก  โดยกล่าวว่า ทางการพม่าไม่มีส่วนรู้เห็นคาดว่าการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่การปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นไปในทิศทางเดียว  จากนั้นพล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุมต่อโดยมีพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาป.ป.ส. ว่าที่ผบ.ตร. เข้าร่วมด้วย 
การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการมุ่งสู่อาเซียนปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 ตามที่บรรดาผู้นำอาเซียนได้เน้นย้ำในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 20 ที่ผ่านมา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ร่วมกันผลักดันปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ปี 2558 มีผู้นำจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ นายรอมเมล แอล การ์เซีย รองเลขาธิการและรองประธานคณะกรรมการยาเสพติดแห่งฟิลิปปินส์ นายมาซากอส ซัลคิฟลี บิน มาซากอส โมฮัมหมัด รมต.อาวุโสกระทรวงมหาดไทยแห่งสิงค์โปร์ พล.ต.ท. ฟาม กุ๋ย เหงาะ รมช.กระทรวงความมั่นคงภายในแห่งเวียดนาม และนายเนียน ลิน  รองเลขาธิการอาเซียน 
พล.ต.อ.ประชา  กล่าวว่า  ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มาร่วมประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ และได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่มุ่งให้อาเซียนเป็นเขตปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 โดยมีมติเห็นชอบให้แก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นสกัดกั้นยาเสพติดทั้งภายในและนอกภูมิภาค อย่างจริงจัง  พร้อมเป็นหุ้นส่วนในการแก้ปัญหายาเสพติด
ในการประชุมแต่ละประเทศพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาต่าง ๆ แต่ละประเทศมีปัญหาแตกต่างกันไป มีการเสนอกรอบแนวทางในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะประเทศพม่าเป็นกรณีพิเศษ  ซึ่งพม่ายอมรับอย่างเปิดใจเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในประเทศเพราะเกิดจากมีพื้นที่กว้างขวาง ว่างเปล่าเยอะ ประชากรว่างงาน มี่สารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด และทางการพม่าได้พยายามแก้ไข  ไทยเองก็ช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ด้านพล.ต.อ.อดุลย์  กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดมีความเชื่อมโยงกัน ทั้งแหล่งผลิต ผู้ค้า และการเดินทาง ในเอเซียประเทศไทยถือว่าเป็นเส้นทางผ่านประเทศสมาชิกจึงร่วมกันคิดบูรณาการทำงานเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดทั้งภูมิภาคร่วมกันทั้งเรื่องบังคับใช้กฏหมาย.
                     
Share:

คุม “ไอ้มั่น”ทำแผน เผยขับไล่ฟัดกันมาเกือบ 100 เมตร









เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายมั่น พูลทรัพย์ มือยิง นายฟารุต ลูกชาย นายชาดา ทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ จรัมพร เผย คู่กรณีขับรถไล่ล่ากัน 93 เมตร
วันนี้ ( 31 ส.ค.) หลังเจ้าหน้าที่นำตัว นายมั่น พูลทรัพย์ ผู้คุมคนงานรับเหมาก่อสร้างไปแถลงข่าวที่ บช.ภ.3 นครราชสีมา แล้ว ต่อมาได้คุมตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมี พล.ต.ท.จรัมพร  สุระมณี  ผช.ผบ.ตร. พ.ต.อ.ธนาเคหะเจริญ  ผกก.สภ.หมูสี  มาดูการทำแผนด้วย ท่ามกลางกำลังตำรวจชุดรักษาความปลอดภัย   พร้อมอาวุธครบมือรวมกว่า 50 รวมทั้งให้ผู้ต้องหา สวมเสื้อเกราะกันกระสุนเพื่อความปลอดภัยด้วย โดยนำตัวไปทำแผนยังที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ร้านอาหารริมถนนธนะรัชต์ ตรงข้ามปาริโอ้ ต่อเนื่องมาถึงหลังโรงเรียนบ้านคลองเดื่อหมู่ 6 ลากยาวมาถึงจุดยิงปะทะที่หมู่บ้านคลองเดื่อ  หมู่ที่ 6  ต. หมูสี  อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา จุดถนนเชื่อม  ถนนธนะรัชต์ ทางขึ้นเขาใหญ่ เส้นทางไป อ. วังน้ำเขียว
พอก่อเหตุเสร็จ จึงขับรถหลบหนีไปที่สามแยกบ้านคลองดินดำ แล้วหลบหนีออกไปเส้นทางด้านหลังโบนันซ่ารีสอร์ทเขาใหญ่ และจอดรถลงไปหักสปอตไลน์ที่ติดด้านหลังกระบะทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะวิ่งออกหมู่บ้านขนงพระเหนือ หมู่ที่ 1 พอพ้นหมู่บ้านมาจนถึง ทางขึ้นข้ามสะพานลำตะคอง ตัดสินใจโยนอาวุธปืนขนาด 9 มม.ทิ้งลงป่าข้างทาง  แล้วรีบขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯทันที จากนั้นได้ถอดชิ้นส่วนและซื้ออุปกรณ์ต่างๆมาซ่อมพ่นสีรถเอง รวมทั้งถอดโรบาร์หลังกระบะออก ก่อนจะกลับมาทำงานในพื้นที่ตามปกติ
พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า คดีนี้ผู้ต้องหาให้การว่าไม่เคยรู้จักกับฝ่ายรถผู้ตายมาก่อน  สาเหตุมีเพียงขับรถเปิดไฟสูงและแซงปาดหน้ากันแล้วผู้ต้องหาอ้างว่าฝ่ายผู้ตายคือลูก สส.ชาดา ยิงปืนใส่ก่อนหลายนัด จึงนำปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะนั่งคนขับออกมายิงเพื่อป้องกันตัว  โดยไม่ทราบว่าจะมีผู้เสียชีวิต  ระยะทางที่รถทั้ง 2 คันขับเคี่ยวกันมาระยะทาง 93  เมตรโดยรถผู้ต้องหาถูกกระสูนปืนเข้ากระบะหลัง 1 รู  บริเวณคอนโซนหน้ารถข้างพวงมาลัย 1 รู  และถูกที่ไฟท้ายด้านขวาแตก 1 นัด รวมเป็น 3 นัด  ซึ่งปลอกกระสูนปืน ที่ตกในที่เกิดเหตุรวม 13 ปลอก มีทั้งขนาด 380 ขนาด 9 มม. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนผู้ต้องหาเพื่อทำสำนวนให้สมบูรณ์ต่อไป.
Share:

จับพลทหารรุมฟันคู่อริปางตาย


พ.ต.ท.ศยาม อินทร์สุวรรณ สว.สส.สน.ทุ่งมหาเมฆ นำกำลังฝ่ายสืบสวน จับกุม พลทหารกรีฑา อ่ำพันเงิน อายุ 23 ปี สังกัดหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี เลขที่ 1541/2552 ลงวันที่ 29 ต.ค.52 ในความผิดข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณป้ายรถประจำทางหน้า รพ.วิภาวดี ถนนงามวงศ์วาน แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่
 
สืบเนื่องจาก เมื่ช่วง 4 ทุ่ม วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาพร้อมเพื่อนรวม 4 คน ได้ก่อเหตุใช้อาวุธมีดฟัน นายยอดรัก สุทธาวิลัย อายุ 23 ปี คู่อริจนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เหตุเกิดที่บริเวณห้องเช่าแห่งหนึ่ง บนถนนสุขาภิบาล 3 แขวงและเขตมีนบุรี  ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งของผู้ต้องหาได้แล้ว 3 คน เหลือเพียงพลทหารกรีฑาคนเดียว ที่ยังหลบหนีอยู่ กระทั่งวันนี้ทราบว่าผู้ต้องหา จะมากินข้าวที่บริเวณดังกล่าว จึงนำกำลังเข้าจับกุม
จากการสอบสวนผุ้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุตนกับเพื่อนร่วมกันทำร้ายผู้บาดเจ็บจริง เนื่องจากเพื่อนในกลุ่มถูกนายยอดรักโทรศัพท์มาหาเรื่อง จึงชวนกันบุกไปที่ห้องพักผู้ตาย แต่ถูกผู้ตายขว้างขวดเหล้าใส่ และพยายามจะชักปืนยิง จากนั้นก็เกิดเหตุชุลมุนขึ้น กระทั่งตนแย่งปืนมาได้ และใช้มีดที่เตรียมมาฟันเข้าที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย


Share:

ใบสั่งเตือนภัย บช.น. ดีเดย์ 1 ก.ย.


วันนี้ ( 31 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น ได้โชว์ใบแจ้งเตือนภัยให้กับสื่อมวลชนดู โดยระบุว่า  สืบเนื่องจากในเขตพื้นที่บช.น. ได้มีคนร้ายก่อเหตุลักทรัพย์รถยนต์ รถจักรยานยนต์และลักทรัพย์ตามบ้านเรือนประชาชนบ่อยครั้ง รวมทั้งเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์คนเดินถนน จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนภัย ให้ใช้ความระมัดระวังในการป้องกันและดูแลทรัพย์สินของตนเองเบื้องต้น ส่วนใบเตือนการกระทำผิดกฎจราจรที่จะนำมาใช้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่ ได้รับใบเตือนไปแล้วครั้งหนึ่ง และยังกระทำความผิดกฎหมายจราจรซ้ำอีก เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยอาจถูกปรับในอัตราโทษสูงสุดทันที ซึ่ง ใบเตือนจะมีขนาดเดียวกันกับใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจร แต่จะมีคำว่าใบเตือน อยู่ด้านบน
 
สำหรับลักษณะของใบเตือนจะมีรูปแบบประกอบด้วย 3 ส่วน คือส่วนที่ 1 สีเหลือง สำหรับให้เตือนแก่ผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจร ส่วนที่ 2 สีชมพู สำหรับใช้ในการบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์หรือฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ส่วนที่ 3 สีขาว สำหรับเป็นสำเนาคู่ฉบับติดอยู่กับต้นขั้วเล่มใบเตือนไว้เป็นหลักฐานสำหรับเจ้าพนักงานผู้พบเห็นการกระทำความผิดหรือจับกุม
 
อย่างไรก็ตามการออกใบเตือนกับ ผู้ขับขี่ที่กระผิดกฎหมายจราจร จะไม่นำไปใช้ใน 13ข้อหาหลักตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา 1.แข่งรถในทาง 2. ขับรถเร็ว 3. แซงในที่คับขัน 4. เมาแล้วขับ 5. ขับรถย้อนศร 6. ไม่สวมหมวกนิรภัย 7. จอดรถซ้อนคัน 8.ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 9. มลพิษควันดำ 10. จอดรถในที่ห้ามจอด 11.การจอดรถบนทางเท้า 12. การขับรถบนทางเท้า 13. แท็กซี่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร
                                                                         ตัวอย่างใบเตือน
ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตรวจตราป้องกันเหตุหากพบว่ายานพาหนะของท่าน ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกก่อเหตุลักทรัพย์ เนื่องจาก
ชนิดรถ.....ทะเบียน....... จังหวัด...... ยี่ห้อ....... รุ่น ........สี ........
(   ) ไม่ได้ล็อกคอรถ                                          (   ) จอดรถไว้ในที่เปลี่ยว / ลับตาคน
(   ) ไม่ได้ล็อก / /ปิดประตู                                  (   ) จอดรถไว้ในที่มืด
(   ) ไม่ได้ล็อกโซ่ /สเตอร์รถ                                 (   ) จอดรถไว้ริมถนน / นอกรั้วบ้าน
(   ) ทิ้งกระเป๋า / ทรัพย์สินไว้ในรถ                              (   ) อื่นๆ .................................
การเตือนภัยอื่นๆ (เนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกก่อเหตุ)
(   ) ไม่ได้ล็อกประตูรั้วบ้าน                                         (   ) เปิดประตู / /หน้าต่างบ้านทิ้งไว้
(   ) รั้วบ้านมีต้นไม้ขึ้นรกรุงรังเป็นช่องทางเข้า-           (   ) รั้วบ้านผุพังเป็นช่องทางเข้า-คนร้ายออก คนร้าย
(   ) ไฟฟ้าแสงสว่างหน้าบ้านชำรุด / ไม่เพียงพอ          (   ) สะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง
(   ) สะพายกระเป๋าไว้ด้านที่อยู่ติดริมถนน                  (   ) วางกระเป๋าไว้ห่างตัว
(   ) วางกระเป๋าไว้ในตะกร้าหน้ารถ                            (   ) ยืนริมถนนคนเดียวในที่มืด / เปลี่ยว
(   )ใส่เสื้อคอกว้างมองเห็นเครื่องประดับ                   (   ) อื่นๆ ............................................
           ขอได้โปรดระมัดระวัง และใส่ใจ ในการดูแลทรัพย์สินของท่านให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
แจ้งเตือนเมื่อวันที่..........เดือน..............พ.ศ. .......................เวลา................... น.
ที่ ..................... หมู่ ....................... แขวง ....................... เขต ................ กรุงเทพฯ
ชื่อผู้ถูกแจ้งเตือน(ถ้าพบตัว) ......................................................................................
ที่อยู่.....................................................................โทรศัพท์......................................
     ลงชื่อ...........................................ผู้แจ้งเตือน / เขตตรวจ................... สน.................
หากพบเห็นเบาะแสอาชญากรรมและยาเสพติด โปรดแจ้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล
                       โทรศัพท์หมายเลข  090 970 2748 ,  090 970 3748
                                     ด้วยความปรารถนาดีจาก
                       พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
Share:

ยาริสชนฟุตปาธใต้บีทีเอชหมอชิตเพลิงลุกท่วม




โตโยต้า ยาริส เสียหลัก ทำให้พุ่งชนฟุตบาทบริเวณตอหม้อใต้สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ก่อนจะกระเด็นไปชนฟุตบาทเกาะกลาง เพลิงลุกท่วม นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
พ.ต.ท.ศักดิ์พัฒน์ เหรียญทอง พนักงานสอบสวน (สบ.3) สน.บางซื่อ ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนตอหม้อทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ บริเวณใกล้สถานีบีทีเอชหมอชิต ถนนพหลโยธินขาเข้ามุ่งหน้าไปตลาดอตก. จึงประสานรถนำดับเพลิง ที่เกิดเหตุพบรถโตโยต้า ยาริส สีแดง ทะเบียน ฌฌ 855 กทม. สภาพเพลิงลุกไหม้ท่วมคัน เจ้าหน้าที่ต้องฉีดน้ำอย่างเร่งด่วนจนสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ส่วนผู้ขับทราบชื่อคือ นายธนาคม อารีกุล อายุ 22 ปี ได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่ง รพ.เปาโล

สอบสวนทราบว่า ขณะที่รถคันดังกล่าว ขับรถมาตามถนนพหลโยธินขาเข้าด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุรถเกิดเสียหลัก ทำให้พุ่งชนฟุตปาธบริเวณตอหม้อใต้สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ก่อนจะกระเด็นไปชนฟุตบาทเกาะกลางอีกทีหนึ่ง จากนั้นเกิดเพลิงลุกไหม้ทั้งคัน   เบื้องต้นต้องรอผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้นก่อนจะนำตัวมาสอบสวนเพื่อหาสาเหตุการชนที่แท้จริงต่อไป.

Share:

ศาลสั่งจำคุกสาวซีวิค 3 ปี



ที่ห้องพิจารณา 5 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง  เมื่อเวลา 9.30 น.วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีประมาทหมายเลขคดี 1233/2554 ที่อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.แพรวพราว ( นามสมมุติ) อายุ 18 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท จนเป็นเหตุในผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ ต่อศาลเยาวชน ฯ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.54 โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.53 เวลากลางคืน จำเลยซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี ขับรถยนต์ยฮอนด้า ซีวิค หมายเลขทะเบียน ฎว-8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ ขาเข้ามุ่งหน้า ถ.ดินแดงด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำประมาทโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางไปมา เปลี่ยนช่องทางจากช่องทางขวาสุดเพื่อมาทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพ ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์ พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้กระเด็นออกจากตัวตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา

                
ภายหลังการอ่านคำพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง นางยุวดี เยี่ยงยุกด์สากล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานที่เป็นผู้เสียหายโดยสารมากับรถตู้ และพยานปากเป็นพนักงานขับรถยกของดอนเมืองโทลลเวย์ที่ขับรถตามมาก่อนเกิดเหตุ ภาพวงจรปิดบนทางด่วน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกน.ส.แพรวพราว จำเลยในความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหายเป็นเวลา 3 ปี  คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน ให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่ เพราะอยู่ในรถ
                
นางยุวดี กล่าวอีกว่า ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลวินิจฉัยไม่รอลงอาญาจำเลย รวมทั้งข้อหาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ จะต้องขอคัดคำพิพากษาเพื่อไปปรึกษากับอธิบดีอัยการฝ่ายคดีเยาวชนฯ ก่อน แต่ตามข้อกฎหมายมีหลักห้ามอุทธรณ์ในข้อหาใช้โทรศัพท์ เพราะมีแค่โทษปรับเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการรับรอง ถ้าหากโจทก์ร่วมต้องการจะยื่นอุทธรณ์คดีก็สามารถทำได้ทันทีภายในระยะเวลา 1 เดือน และสามารถขอขยายระยะเวลาได้อีกตามที่กฎหมายกำหนด
              
"คดีนี้ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคดีเยาวชนที่มุ่งเน้นแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเยาวชน"  นางยุวดี กล่าว
                
พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ บิดาของน.ส.สุดาวดี นิลวรรณ นักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามคำฟ้องในความผิดฐานประมาท แต่ให้การลดโทษและคุมประพฤติ พร้อมทั้งห้ามขับรถ ซึ่งเท่าที่ได้หารือกับญาติผู้เสียหายส่วนใหญ่รู้สึกพอใจ แม้ศาลจะให้รอลงอาญาก็ตาม โดยไม่ติดใจการลงโทษ เพราะกฎหมายเยาวชนเน้นให้โอกาสเยาวชนแก้ไขกลับเนื้อกลับตัว และการฟ้องคดีนี้เพื่อต้องการให้ศาลชี้ว่าใครผิดใครถูก จึงต้องขอขอบคุณญาติผู้เสียทุกคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานที่รวบรวมหลักฐานไว้ละเอียดครบถ้วน พยานทุกปากโดยเฉพาะคนขับรถดอนเมืองโทลล์เวย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศาลที่พิพากษาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคดีนี้ฝ่ายจำเลยจะต้องขอยื่นอุทธรณ์ โดยโจทก์เองก็จะปรึกษาหารือกันต่อไป
              
ด้านนางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 64 ปี มารดาของนายศาสตรา เช้าเที่ยง หรือดร.เป็ด  กล่าวว่า พอใจผลคำพิพากษา ส่วนตัวต้องการยื่นอุทธรณ์ แต่ต้องปรึกษาทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือจะดำเนินคดีทางแพ่งหรือไม่อย่างไร โดยหลังจากนี้จะกลับไปบอกลูกชายว่าศาลพิพากษาลงโทษและได้ภาคทัณฑ์จำเลยแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ลูกชายอุตสาห์ใช้เวลาหลายปีร่ำเรียนอย่างหนักจนจบมา แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสหาความสุขแต่งงานมีครอบครัวก็ต้องมาถูกแม่คุณคนนี้ขับรถชนตาย
ขณะที่นางทองพูน พานทอง อายุ 57 ปี มารดาของนางสาวนฤมล คนขับรถตู้ กล่าวว่า ผลคำพิพากษาของศาลในวันนี้ ทำให้ตนรู้สึกดีขึ้นที่จะไม่มีใครกล่าวหาว่าลูกสาวตนเป็นคนผิดและสังคมจะได้รู้ว่าลูกตนไม่ได้ทำผิด              
              
ส่วนน.พ.กฤช รอดอารีย์ บิดานายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่มีคำพิพากษาในวันนี้ เพราะรอคอยกันมานาน ส่วนญาติทุกคนจะอุทธรณ์ในข้อหาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ต้องรอปรึกษากับทีมทนายก่อน ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าบทลงโทษของศาลกรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่นได้
                
นางกษมน มั่นศิลป์ มารดานายเกียรติมันต์ กล่าวว่า หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องมารายงานตัวต่อศาลต่อศาลทุก 3 เดือน ต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบว่าจำเลยได้ทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาลหรือไม่ทั้งเรื่องการห้ามเที่ยวกลางคืน ห้ามเสพยาเสพติด และทำงานบริการสังคม 48 ชั่วโมงภายในเวลา 2 ปี และให้กลับไปศึกษาโดยต้องนำผลการเรียนพร้อมผลการตรวจปัสสาวะส่งเจ้าพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ซึ่งฝ่ายโจทก์ร่วมคงไม่ไปติดตามตรวจสอบว่าจำเลยจะปฏิบัติตนผิดเงื่อนไขศาลหรือไม่ แต่ถ้ามีผู้ใดพบเห็นว่าจำเลยแอบไปเที่ยวกลางคืนหรือไปขับรถก็สามารถถ่ายรูปนำหลักฐานมาส่งศาลให้พิจารณาลงโทษได้
                  
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ญาติผู้หายเดินทางมาศาลทุกคน โดยในช่วงเช้าก่อนเข้าฟังคำพิพากษาญาติผู้เสียหายเดินทางไปสักการะศาลหลักเมืองเพื่อขอพรให้คดีจบสิ้นโดยเร็ว ส่วนน.ส.แพรวพราวเดินทางมาพร้อมบิดา-มารดาและทนายความและเข้าห้องพิจารณาทันที ซึ่งภายหลังการฟังคำพิพากษาน.ส.แพรวพราวและครอบครัวเดินออกจากห้องพิจารณาด้วยสีหน้าที่แสดงอาการโล่งใจ
                 
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า  ก่อนหน้านี้คดีนี้ศาล เคยนัดฟังคำพิพากษามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.55 แต่ศาลได้มีข้อเสนอแนะให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ได้ร่วมประชุมกลุ่มสหวิชาชีพ เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหาย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ร่วมกันประเมินและหารือเพื่อวางแผนการเยียวยา และบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุมเพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัว ตามพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา132 ซึ่งต่อมาได้มีการนัดประชุมกลุ่มครอบครับเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. จนกระทั่งวันที่ 30 ก.ค. กลุ่มครอบครัวผู้เสียหาย ได้ประชุมร่วมกับจำเลยและทนายความ ซึ่งได้มีการกล่าวขออภัยกัน โดยฝ่ายญาติผู้เสียหายยังยืนยันที่จะให้ศาลมีคำพิพากษาคดี  ทั้งนี้  ญาติผู้เสียหายยังได้ฟ้องคดีแพ่งฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย 120 ล้านบาท โดยขณะนี้ศาลแพ่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลเยาวชนฯ จะมีคำพิพากษา.
Share:

กรมสรรพสามิตเผยขึ้นภาษีสุรา-ยาสูบ เก็บรายได้เพิ่ม 13,000 ล้านบาท


เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (22 ส.ค.) กลุ่มเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมด้วยเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และเครือข่ายเฝ้าระวังแอลกอฮอล์กรุงเทพ มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา จำนวนกว่า 30 คน เข้าพบ นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต เพื่อสนับสนุนนโยบายที่กระทรวงการคลังเสนอให้คณะรัฐมนตรีปรับขึ้นภาษี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที

โดยนายจะเด็จ เชาว์วิไล ที่ปรึกษาเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยว่า เครือข่ายต้องการสนับสนุนนโยบายของกรมสรรพสามติดังกล่าว เพราะมาตรการราคาที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดแรงจูงใจในการเข้าถึงแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพ ลดการบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต ที่มีสาเหตุมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น

ด้าน นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทำให้สรรพสามิตยาสูบปรับเพิ่มค่าแสตมป์ ยาเส้น ยาสูบ และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประเภทต่างๆ มีผลทำให้ราคาขายปลีกยาสูบปรับเพิ่มขึ้นซองละ 3-14 บาท นอกจากนี้ได้ปรับภาษีสุรากลั่น ชนิดสุราขาว จากเดิมลิตรละ 120 บาทต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ เป็น 150 บาท ชนิดสุราผสม จากเดิม 300 บาท เป็น 350 บาท และชนิดสุราพิเศษ ประเภทบรั่นดี ปรับเพิ่มตามมูลค่าจาก 48 เป็น 50 รวมถึงค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งสนับสนุนมาตรการควบคุมการบริโภคของประชาชนด้วย

ทั้งนี้ จะทำให้กรมสรรพสามิตมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 13,000 ล้านบาท มาจากยาสูบ 10,000 บาท สุรา 3,000 ล้านบาท ในส่วนเบียร์และไวน์นั้น ได้ปรับภาษีเต็มเพดานไปแล้ว กำลังศึกษาว่าจะขยายเพดานอีกหรือไม่ โดยหากต้องขยายเพดานต้องแก้กฎหมายก่อน ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลขึ้นภาษีเพื่อนำเงินไปชดเชย โครงการประชานิยมนั้น ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะค่าธรรมเนียมดังกล่าวไม่ได้ปรับขึ้นมากว่า 34 ปีแล้ว เป็นเพียงการปรับตามสภาวะเศรษฐกิจ.


Share:

สสปน.ลุยดึงเวียดนามร่วมงานแสดงสินค้าในไทย


วันนี้ (30 ส.ค.) นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายงานแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เปิดเผยว่า สสปน. มีแผนเจาะตลาดดึงผู้ซื้อและผู้ขายชาวเวียดนามมาออกร้านและร่วมงานแสดงสินค้าในไทยมากขึ้น โดยเน้นเจาะกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร อาหารเป็นหลัก โดยได้ไปจับมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนาม (เวียดเทรด) ลงนามในความร่วมมือระหว่างกัน ในส่วนของ สสปน. จะช่วยให้ความรู้ผู้ประกอบการเวียดนามในการใช้ช่องทางร่วมงานแสดงสินค้าขยายตลาด ขณะที่ทางเวียดเทรดจะช่วยประชาสัมพันธ์ปฏิทินการจัดงานแสดงสินค้าของไทยให้ผู้ประกอบการเวียดนามทราบ

“จากสถิติผู้ร่วมงานแสดงสินค้าในไทย เมื่อปี 51-52 ผู้ร่วมงานจากเวียดนามยังติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาดที่มาไทยมากที่สุด แต่หลังจากนั้นยอดผู้ร่วมงานเวียดนามตกลงไป เพราะเวียดนามมีปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบกับในประเทศจัดงานแสดงสินค้ามากขึ้น ดังนั้นสสปน. จึงต้องกลับมากระตุ้นตลาดนี้ให้กลับมาไทย โดยเน้นเจาะตลาดรายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามมองว่า เวียดนามยังไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวของไทยด้านการเป็นศูนย์กลางแสดงสินค้านานาชาติในอาเซียน เพราะงานแสดงสินค้าที่จัดในเวียดนาม แม้จะมีมากกว่า 800 งาน เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจาก 5 ปีก่อน แต่งานส่วนใหญ่ยังเป็นงานระดับในประเทศเท่านั้น มีงานนานาชาติเพียงแค่ 70 งาน”


Share:

ฟินแลนด์ทำเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในหลวง







พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ โดยใช้แนวคิดในการผลิตเหรียญที่ระลึกให้มีขนาดใหญ่ที่สุดเพื่อ “ความเป็นหนึ่งเดียวในโลก” นำขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระองค์ท่าน ส่วนรายได้หลังจากนำหน่ายเหรียญหักค่าใช้จ่าย ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัย
เหรียญเงิน ใช้วัสดุเหรียญเงินสเตอร์ลิง (เงินแท้ 92.5% และทองแดง 7.5%) น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม.
เหรียญทอง ใช้วัสดุเหรียญเงินสเตอร์ลิง เคลือบทองคำแท้หนา 0.2 ไมครอน น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม.
นายโจปี ฮัคคาเนน ผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยีของโรงกษาปณ์แห่งประเทศฟินแลนด์กล่าวว่า “งานชนิดนี้ต้องอาศัยผู้มีทักษะในการใช้แกะลวดลายที่เป็นเลิศ รวมถึงความระมัดระวังอย่างสูง เพื่อความเป็นเลิศของชิ้นงาน”
โดยเหรียญขนาดใหญ่นี้ แสดงให้เห็นถึงลวดลายการแกะสลักบนเหรียญอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยของการตีตราเหรียญที่ระลึก นอกจากเทคโนโลยี การตีตราด้วยวิธีกดอัดด้วยระบบไฮดรอลิกที่มีน้ำหนักสูงถึง 1,250 ตัน แล้ว แม่พิมพ์ของแต่ละเหรียญ ล้วนแต่ผ่านงานฝีมือที่ต้องอาศัยความชำนาญจากช่างแกะสลักผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์ และการเรียนรู้มาอย่างยาวนาน
สำหรับการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกทรงพระเจริญยิ่งยืนนานนี้  มีวัตถุประสงค์เพื่อรวมใจพสกนิกร ชาวไทยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ และนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัย
 
โครงการฯ นี้ โรงกษาปณ์แห่งประเทศฟินแลนด์ได้รับเกียรติ จาก หม่อมหลวง จิราธร จิรประวัติ  ในการออกแบบพระบรมสาทิสลักษณ์ลายเส้น ภายใต้แนวคิด “Circle of life” เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว    เป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทย พระบารมี และ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทำให้วงจรชีวิตของปวงชนชาวไทยมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน  โดยสื่อความหมายผ่านเหรียญที่ระลึกทั้ง 3 แบบ และมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
เหรียญผลิดอก วัสดุ โลหะผสม ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 27.25 มม. น้ำหนัก 27.25 กรับ บรรจุใน แคปซูลคุณภาพดีและบรรจุภัณฑ์เรียบโก้ (ราคา 399 บาท)
ด้านหน้า พระบรมสาทิศลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “H.M. KING BHUMIBOL ADULYADEJ’S 84TH BIRTHDAY ANNIVERSARY”
ด้านหลัง ภาพลายเส้นรูปดอกไม้ผลิดอก สื่อถึงการเริ่มต้นอย่างสวยงามของปวงชน ชาวไทยทุกคน ภายใต้          พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “LONG LIVE THE KING OF THAILAND”

เหรียญออกผล วัสดุ เงินแท้ขัดเงา ลงสีชมพู ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 22 มม. น้ำหนัก 8.4 กรัม บรรจุในกล่องสวยหรู (ราคา 2,499 บาท)
ด้านหน้า พระบรมสาทิศลักษณ์ พระบาทสมเด็จประเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “H.M. KING BHUMIBOL ADULYADEJ’S 84TH BIRTHDAY ANNIVERSARY” พร้อมลงสีชมพูด้านหลัง ภาพลายเส้นรูปต้นไม้ออกผล สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย ภายใต้พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “LONG LIVE THE KING OF THAILAND”
 
เหรียญร่มเย็น วัสดุ ทองคำแท้เคลือบบนโลหะผสม ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 27.25 มม. น้ำหนัก 10 กรัม บรรจุในกล่องสวยหรู  (ราคา 2,499 บาท)
ด้านหน้า พระบรมสาทิศลักษณ์ พระบาทสมเด็จประเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “H.M. KING BHUMIBOL ADULYADEJ’S 84TH BIRTHDAY ANNIVERSARY”
ด้านหลัง ภาพลายเส้นรูปต้นไม้ใหญ่ ผลิดอก ออกผล สื่อถึงความร่มเย็นเป็นสุข ของพสกนิกรชาวไทย ภายใต้      พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “LONG LIVE THE KING OF THAILAND”
 
ชุดเหรียญ Circle of Life
เหรียญผลิดอก เหรียญออกผล และเหรียญร่มเย็น
1 ชุดประกอบด้วย 3 เหรียญ เหรียญทองคำแท้เคลือบบนโลหะผสม  เหรียญเงินแท้ขัดเงาลงสีชมพู และเหรียญโลหะผสม
บรรจุในกล่องสวยหรู ควรค่าแก่การเก็บสะสม มอบเป็นของที่ระลึกแด่คนสำคัญ หรือจัดทำเป็นเครื่องประดับ (ราคาชุดละ 4,999 บาท)
Share:

มือปืนยิงลูกส.ส.ชาดามอบตัวสารภาพสิ้น


จากกรณีนายฟารุต ไทยเศรษฐ อายุ 28 ปี ลูกชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ถูกยิงเสียชีวิต ขณะขับรถโตโยต้า แลนด์ครุยเซอร์ สีดำ ทะเบียนป้ายแดง อ 5726 กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดที่ถนนสายเขาใหญ่-วังน้ำเขียว ท้องที่ สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น เกี่ยวกับความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว ล่าสุดเมื่อเวลา 20.00 น. วันนี้(30ส.ค.) พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.ภ.3 ได้รับการประสานจากชายที่อ้างตัวว่าเป็นมือปืนยิงนายฟารุต ว่าจะขอเข้ามอบตัว โดยนัดหมายให้มารับตัวในพื้นที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
 
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ดินทางไปรับตัวทราบชื่อ นายมั่น พูลทรัพย์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55 หมู่ 6 ต.ปากท่อ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ก่อนจะพาตัวมาสอบสวนที่เซฟเฮ้าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.วังน้ำเขียว ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา
ทั้งนี้ นายมั่นรับสารภาพว่า ปัจจุบันทำงานเป็นคนคุมงานก่อสร้างอยู่ภายในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใกล้ที่เกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุได้ขับรถปิกอัพโตโยต้า วีโก้  มาเพียงลำพัง และชอบเปิดเพลงเสียงดัง ก่อนเกิดเหตุรถยนต์ของนายฟารุต ขับมาและสาดไฟสูงใส่จึงขับหลบให้แซงขึ้นไป จากนั้นก็ขับแซงกันไปมาและเปิดไฟสูงใส่เช่นกัน  จากนั้นคนที่นั่งด้านซ้ายได้ลดกระจกลงแล้วยิงปืนใส่ตนก่อนหลายนัด ด้วยความตกใจจึงใช้อาวุธปืนพกยิงตอบโต้ไป 3 -4 นัด
นายมั่น กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุได้นำรถไปเติมน้ำมันที่ปั้มแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง ก่อนจะนำรถไปซ่อมที่อู่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยพบว่าตัวรถถูกยิงทั้งหมด 6 นัด เมื่อซ่อมเสร็จก็ย้อนกลับมาทำงานตามปกติ ส่วนอะไหล่ที่เปลี่ยนก็ยังเก็บไว้ สาเหตุที่ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัวเองไม่ได้มีการวางแผนมาก่อนแต่อย่างใดและขณะเกิดเหตุมีตนเพียงคนเดียวเท่านั้น


Share:

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blog Archive

Followers

Blog Archive