วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556
จ่อเรียกคู่กรณีเคลียร์คดีหนุ่มก่อสร้างควบ จยย.ตกท่อระบายน้ำ
จากกรณี นายพงษ์ศักดิ์ เหมันต์ อายุ 33 ปี อาชีพรับเหมาก่อสร้างขี่ จยย. เสียหลักพลิกคว่ำและพลัดตกลงไปในท่อระบายน้ำลึกเมตรกว่าที่เปิดฝาทิ้งไว้เพื่อเทปูนเสริมขอบวางฝาท่อ จมน้ำเสียชีวิตภายในซอยพุทธมณฑลสาย 2 ซอย 21/1 แยก 5 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา โดยญาติของผู้ตายข้องใจระบุว่า ฝาคอนกรีตนำขึ้นมาวางบนถนนตลอดเส้นทางจนน่าหวาดเสียวมากว่าสัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่ดำเนินงานให้แล้วเสร็จ และไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับเหมารับผิดชอบ รวมทั้งไม่ขึ้นป้ายประกาศเตือนด้วย
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ไปตรวจสอบบริเวณจุดที่เกิดเหตุอีกครั้งพบว่า ท่อระบายน้ำดังกล่าวมีการนำพวงมาลัยและเครื่องเซ่นมาตั้งวางไว้ โดยมีชาวบ้านยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ทราบข่าวแล้วตั้งแต่เมื่อคืน บางรายไม่เชื่อว่าผู้ตายจะขี่รถร่วงตกท่อจมน้ำดับ เพราะฝาท่อมีการนำก้อนหินและกิ่งไม้ผูกเชือกมากั้นไว้ ขณะที่บางรายชี้ว่าเป็นเพราะความไม่รอบคอบของผู้รับเหมา ที่ไม่นำป้ายสัญลักษณ์มาติดไว้ให้เด่นชัด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ด้าน นายประยูร แซ่เตีย อายุ 60 ปี ผู้รับเหมางานเทปูน กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้สอบถามผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ผู้ตายขี่ จยย. แล้วเสียหลักขณะกำลังข้ามลูกระนาดจนรถเซไปทางท่อระบายน้ำ ก่อนจะสะดุดก้อนหินขนาดใหญ่และพลัดร่วงตกลงไปภายในท่อจนจมน้ำเสียชีวิต เชื่อว่าไม่ได้เป็นความผิดพลาดของการเทปูนเสริมปากท่อ อีกทั้งตนได้นำก้อนหินและกิ่งไม้แห้งพันเชือกมาผูกล้อมรอบฝากั้นไว้แล้วด้วย ส่วนงานดังกล่าว เขตทวีวัฒนาว่าจ้างให้มาเทปูนเสริมขอบวางฝาท่อรวม 84 ท่อ ระยะทางกว่า 520 เมตรเวลา 2 เดือน เพิ่งจะทำไปได้แค่เดือนเดียวยังไม่เสร็จ อย่างไรก็ตาม จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ด้วยการนำฝาท่อขนาดใหญ่มากั้นและจะฉีดพ่นสีสเปรย์แสดงสัญลักษณ์ให้เห็นเด่นชัดกว่าเก่า ทั้งนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อในเรื่องนี้กับญาติผู้ตาย
ร.ต.ท.วสันต์ แช่มมั่นคง ร้อยเวร สน.ธรรมศาลา กล่าวว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนเรียกผู้รับเหมา เจ้าหน้าที่เขตทวีวัฒนาที่เป็นผู้ว่าจ้างมาสอบปากคำเพื่อหาข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเชิญญาติของผู้ตายมาพูดคุย เพื่อตกลงว่าจะดำเนินการต่อไปเช่นไร รวมทั้งหาทางช่วยเหลือเยียวยาผู้สูญเสียด้วย.
“หมอกัมปนาท”จ่อแจ้ง ปอท.เอาผิดลูกศิษย์นักเขียนหนังสือชื่อดังสร้างเฟซฯหมิ่น
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ชื่อดัง รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์ อดีตวิทยากรรายการชูรักชูรส ได้เตรียมนำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อให้ดำเนินคดีกับ กลุ่มบุคคลที่เข้ามาโพสต์ข้อความบนหน้าเฟซบุ๊กของตนเองและที่หน้าเฟซบุ๊กของบุคคลกลุ่มนั้น ก่อนจะโพสต์โจมตีด้วยข้อความหมิ่ประมาทหลายอย่าง จนสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับตนเอง ครอบครัว และหน้าที่การงาน
นพ.กัมปนาท เปิดเผยว่า การเตรียมหลักฐานที่จะเข้าแจ้งความดังกล่าว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้ดูรายการโทรทัศน์หนึ่ง ที่นำแขกรับเชิญ ซึ่งเป็นนักเขียนหนังสือชื่อดังคนหนึ่ง มาพูดคุยซักถามและให้ความรู้เกี่ยวกับ การรักษาผู้ป่วยด้วยการสะกดจิต เพื่อบำบัดผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านจิตใจ แต่บางช่วงที่มีการนำเสนอบอกว่า การสะกดจิตสามารถรักษาผู้ป่วยได้ทุกคนนั้น ในฐานะที่เป็นแพทย์ทางด้านจิตคนหนึ่งมองว่า การสะกดจิตน่าจะใช้ได้กับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น เพราะบางรายต้องใช้ยาทางจิตเวชช่วยรักษา ขนาดในรายการยังขึ้นข้อความว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ซึ่งแสดงว่า ทางรายการก็ไม่ได้ให้ความมั่นใจในวิธีสักเท่าไร ด้วยความที่เกรงว่าผู้รับชมจะเข้าใจผิด จึงตัดสินใจดึงบางช่วงของรายการมาแปะไว้ที่หน้าเฟซบุ๊กตนเองและขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาหลายคนให้มาโพสต์แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพื่อเป็นตัวเลือกให้ผู้ป่วยอ่านแล้วชั่งใจว่าจะรักษาอาการป่วยของตัวเองด้วยวิธีใด ซึ่งจิตแพทย์ทุกคนที่ให้ความเห็นแบบเดียวกับตน
“ต่อมา หลังหมอเอาลงหน้าเฟซไม่นาน ก็มีกลุ่มบุคคลเข้ามาโพสต์แสดงข้อความไม่พอใจและบางครั้งใช้คำหยาบคายด้วย จากนั้นหมอได้ตรวจสอบจนทราบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นลูกศิษย์และเป็นผู้ป่วยของนักเขียนหนังสือคนนั้น ก่อนจะลบข้อความหยาบคายทิ้งไป เหลือไว้เพียงความคิดเห็นที่มีมุมมองตรงกันข้ามเท่านั้น ไม่ได้ลบทิ้งทั้งหมด แต่ปรากฏว่ากลุ่มคนเหล่านั้นไม่พอใจและสร้างเฟซบุ๊กขึ้นมาเอง ก่อนจะนำภาพและคลิปที่มีหน้าหมอไปแปะไว้ที่หน้าเฟซ จากนั้นได้โพสต์ข้อความกล่าวหาหมอในลักษณะว่าเป็นคู่แข่งครูของพวกเขา สร้างเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาโพสต์เอาไว้ รวมถึงส่งต่อข้อความไปเรื่อยๆ ทั้งชักชวนบุคคลอื่นที่มีความคิดแบบเดียวกันมาโพสต์โจมตีต่อว่าหมออย่างสนุกสนาน ” นพ.กัมปนาท กล่าว
จิตแพทย์ชื่อดัง กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะบานปลายมากกว่านี้ จึงติดต่อไปหาเจ้าของเฟซบุ๊กเพื่อชี้แจงและอธิบายหลักการทางการแพทย์สากลให้ฟัง หวังว่าจะช่วยคลี่คลาย แต่กลับทำให้เขาโมโหมากขึ้น ก่อนจะตั้งกระทู้ต่อว่าหมออย่างรุนแรงในหน้าเฟซ ซึ่งมีใจความลักษณะกล่าวหาว่า “หมอโรคจิต หื่น บ้าผู้ชาย พอติดต่อผู้ชายให้มานอนด้วยไม่ได้ก็ใส่อารมณ์” จากนั้นก็ส่งต่อไปให้คนอื่นอีก ยอมรับว่าตลอด 3 – 4 วันที่ผ่านมา พยายามตั้งสติไม่ไปตอบโต้ด้วย แต่พอมาเจอข้อกล่าวหาแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าชักจะเกินเลยไปใหญ่ ที่จริงไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวกับนักเขียนชื่อดังคนนั้นมาก่อน จึงปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่และผู้ป่วยที่คอยให้กำลังใจจนได้รับคำชี้แนะว่า ควรจะรักษาชื่อเสียงและสิทธิตัวเอง จึงตัดสินใจจะหอบหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความที่ ปอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของเฟซบุ๊กในข้อหามีความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ในวันที่ 17 มิ.ย. เวลา 14.00 น.นี้.
บุกรวบมือปืนลำดับ 15 ยิงเหยื่อดับก่อนหนีกบดานสุราษฎร์ธานี
สืบ 4 ร่วมกับสืบภาค 8 บุกรวบผู้ต้องหาลำดับ 15 ที่ บช.น.ต้องการตัว หลังร่วมกับพวกยิงเหย่ือจนตายที่ศูนย์การค้าตะวันนาปี 50 ก่อนหนีไปกบดานสุราษฎร์ธานี แต่ยังภาคเสธ
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.น.4 บช.น. พ.ต.ท.ชัยรัตน์ หิรัญบูรณะ สว.กก.สส. พ.ต.ท.ภัทศาสตร์ บัวแก้ว สว.กก.สส.2 บก.สส.ภ.8 ร่วมกันจับกุมตัว นายวุฒิชัย ขวัญแก้ว หรือเอ็ม อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 บ้านไสท้อน ม.6 ต.ไทรขึง อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 2626/2550 ลงวันที่ 27 ส.ค.2550 ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านพักไม่มีเลขที่ ในสวนยางพารา หมู่บ้านบางน้ำเย็น หมู่ 7 ต.ไทรขึง อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี
พ.ต.อ.สง่า กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจาก ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิง นายสุเทพ ครุฑโปร่ง เสียชีวิต ส่วนนายโยธิน ครุฑโปร่ง และนายเสรี สิงหาทอ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2550 เวลาประมาณ 20.00 น. ที่ศูนย์การค้าตะวันนา แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ จากนั้นได้หลบหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ต่างจังหวัด ต่อมาทางชุดสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี บ้านเกิด จึงประสานข้อมูลกับ บก.สส.ภ.8 นำกำลังเข้าจับกุมได้ในที่สุด โดยนายวุฒิชัยถือเป็นผู้ต้องหาที่บชน.กำลังต้องการตัว เนื่องจากเคยก่อเหตุคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ใช้ปืนยิงคนตายกลางศูนย์การค้าทั้งที่เป็นเวลาช่วงหัวค่ำคนกำลังพลุกพล่าน จึงจัดให้เป็นมือปืนในลำดับที่ 15 ที่ บชน.ต้องการตัว
จากการสอบสวนผู้ต้องยังให้การภาคเสธ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนสน.ลาดพร้าว ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ ทำสำนวนรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีต่อไป.
ดีเอสไอให้ผู้ครอบครองรถหรูนัดคิว 18 มิ.ย.นี้ เผยตรวจสอบเทคนิคชัดเจนที่สุดนำเข้าทั้งคันหรือจดประกอบ
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยผลการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่างเทคนิคของรถยนต์หรูยี่ห้อต่าง 10 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท วัฒนา ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด , บริษัท นิชคาร์ จำกัด , บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ,บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ,บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ,บริษัท โรลส์ – รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด ,บริษัท ซิตี้ ออโต้ โมบิล จำกัด และ บริษัทเมอร์เซเดส – เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อวางแผนการตรวจสอบสภาพการนำชิ้นส่วนรถยนต์มาจดประกอบว่า ที่ประชุมมีมติ 2 ประเด็น คือ 1.การตรวจสอบกายภาพจะคู่ขนานกับการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเอกสาร เพื่อเช็กที่มาของชิ้นส่วนที่นำมาจดประกอบในประเทศไทย ขั้นตอนการจดประกอบ การผ่านมาตรฐานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) การจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบอก การโอนรถ จนมาถึงมือผู้ครอบครองคนสุดท้าย โดยดีเอสไอจะร่วมกับสมอ.และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ อีกประเด็นที่มีความเป็นห่วงคือผู้ครอบครองรถทั้งแบบสมัครใจเข้าตรวจสอบเองและไม่สมัครใจ ดีเอสไอยืนยันว่าเบื้องต้นผู้ครอบครองถือเป็นผู้เสียหายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยกเว้นกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีจะต้องถูกดำเนินคดี โดยในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ในเวลาราชการดีเอสไอจะเปิดให้ผู้ครอบครองรถแบบสมัครใจติดต่อขอนัดเวลานำรถเข้าตรวจสอบ
นายธาริต กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดต่อเข้านัดเวลาตรวจสอบรถต้องเป็นเจ้าของรถ ผู้ครอบครองหรือผู้รับมอบอำนาจ โดยต้องแสดงหลักฐานสำคัญ อาทิ สมุดคู่มือการจดทะเบียนรถหรือหลักฐานการครอบครองรถ และบัตรประชาชน ซึ่งล็อตแรกที่ดีเอสไอตรวจสอบจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. ทั้งนี้ บริษัท เมอร์เซเดสฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังบริษัทแม่ที่ประเทศเยอรมันแล้วว่ารถยนต์ที่นำเข้าโดยถูกต้องในประเทศไทยมีกี่คัน เพื่อจะได้คัดกรองให้ถูกต้องหลังจากนี้จะต้องตรวจสอบเลขเครื่องยนต์ที่ปรากฎอยู่ในรายการรถที่แจ้งจดประกอบว่ามีขั้นตอนการนำเข้าอย่างไร ผู้นำเข้าเป็นใคร แจ้งเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ โดยขอให้มั่นใจผลการตรวจสอบ เพราะการตรวจทางเทคนิคจะทำให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นรถที่นำเข้ามาทั้งคันหรือแยกชิ้นส่วนมาประกอบ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทราบผลที่ชัดเจนทั้งเลขเครื่องยนต์และเลขอะไหล่ที่เป็นซีรี่ย์เดียวกัน การประกอบสายไฟ หัวน๊อต และอุปกรณ์สำคัญที่เป็นเทคนิคพิเศษของแต่ละยี่ห้อ
ด้านนายวรส ธรรมวิวัฒน์ ตัวแทนบริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารี่ กล่าวว่า การตรวจสอบจะเน้นการพิสูจน์เลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์และเลขเกียร์ หากตรงกันก็ถือเป็นรถที่นำเข้าทั้งคัน ไม่ใช่รถที่นำเข้าชิ้นส่วนมาจดประกอบ ส่วนประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตถึงการใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงนั้นสามารถใช้ได้ แต่จะติดตั้งจริงหรือไม่นั้นก็ต้องตรวจสอบ เพราะโดยปกติตัวเลขถังรถยนต์จะอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอด ยกเว้นเกียร์หรือเครื่องที่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งได้ ในกรณีที่หากรถประสบอุบัติเหตุแล้วจะนำมาจดประกอบหรือไม่นั้น ในส่วนบริษัทกรณีที่ลูกค้านำรถไปประสบอุบัติเหตุจะแนะนำให้ส่งไปซ่อมที่ฮ่องกงเพราะชำนาญในการซ่อมประเภทนี้
“บริษัทตนก่อนหน้านี้ประมาณ 3 ปีจดทะเบียนชื่อว่าบริษัท เฟอร์ม่า มอเตอร์ แต่ได้ปิดตัวไปก่อนเปิดตัวใหม่ในชื่อบริษัท คาวาลลิโน เพื่อจัดจำหน่ายรถเฟอร์รารี่ ซึ่งมียอดขายประมาณ 20-30 คัน ต่อปี รถมีราคาตั้งแต่ 20-31 ล้านบาทขึ้นไป โดยบริษัทตนเสียภาษีในอัตราสูงสุดถึง 328%” นายวรส กล่าว.
ประธานสภาปฏิรูปพลังงานรับทราบข้อหาหมิ่นปตท.
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ร.ต.อ.เอกลักษณ์ ดวงปัญญา ร้อยเวร สน.บางซื่อ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์ ประธานสภาปฏิรูปพลังงานแห่งชาติ ได้เดินทางมาพบตามนัดหมาย เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากรณี บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้แจ้งความฐานหมิ่นประมาทไว้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 14 ต.ค.55 ตุลาคม นายประสิทธิ์ ได้รับเชิญจาก สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ให้ไปออกอากาศพูดคุยในรายการของทางสถานีที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งบางช่วงบางตอนของการพูดคุย นายประสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างพาดพิงถึงบริษัท ปตท. เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นกว่า 800 ล้านหุ้น ระบุว่า “ตอนแรก ปตท.บอกว่าจะกระจายหุ้นขายในตลาดหลักทรัพย์ แต่ความจริง ปตท.ไม่ได้นำหุ้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับไปขายธนาคารพาณิชย์และโรงกลั่นน้ำมันของ ปตท. ซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐ ปตท.กลับเอาไปขายในราคาแค่ 1 บาท” ซึ่งจากการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้ ทำให้ปตท.เกิดความเสียหายต่อองค์กร จึงเข้าแจ้งความฐานหมิ่นประมาทต่อนายประสิทธิ์ไว้ ซึ่งหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาแล้วก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.
โจ๋ 16 ซิ่งหนีตายแต่พลาดรถล้มโดนจ้วงแทงไม่ยั้งดับสยอง
โจ๋ 16 ซิ่ง จยย.หนีตายจากกลุ่มอรินับสิบ ก่อนเสียหลักรถคว่ำ จนถูกไล่ตามทัน สุดท้ายโดนมีดจ้วงแทงไม่ยั้ง 5 ครั้งรวด ดับสยองคาที่ รอง ผบก.น.2 เผยคู่กรณีมีเรื่องที่ร้านหมูกระทะ เร่งล่าตัวขาโหด
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ร.ต.ท.เรืองศักดิ์ เนื่องกิจ พงส.สน.พหลโยธิน เปิดเผยว่า เมื่อช่วง 3 ทุ่ม วันที่ 15 มิ.ย. ได้รับแจ้งว่ามีผู้ถูกแทงเสียชีวิต บริเวณหน้าร้านทองฮะฮงไถ่ ถนนพหลโยธิน (ฝั่งขาออก) แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จึงรุดเดินทางไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน พ.ต.ท.ศันย์ชัย พานิชกุล รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.นิคม ศรเหล็ก สว.สส. ฝ่ายสืบสวน แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐาน และมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุบนฟุตปาธ พบศพนายพัทรพล ขวัญทิพย์ อายุ 16 ปี สภาพศพนอนหงายจมกองเลือด สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีน้ำเงิน กางเกงยีนขาสั้น ไม่สวมรองเท้า พบบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่ชายโครงขวา 1 แผล และแผ่นหลังอีก 4 แผล จากการตรวจสอบในตัวผู้ตายพบ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เงินสด 140 บาท กุญแจรถจยย. จึงเก็บไว้ตรวจสอบ
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุผู้ตายพร้อมเพื่อนรวม 3 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟ สีแดง ขับหนีกลุ่มคู่อริกว่า 10 คน ที่วิ่งตามมาจากทางด้านร้านหมูกระทะแฟมิลี่ มุ่งหน้าสี่แยกเกษตร จากนั้นรถของกลุ่มผู้ตายได้ล้มลง จึงถูกกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวตามมาทัน แต่เพื่อนผู้ตายอีกสองคนวิ่งหนีออกไปทัน จึงเหลือผู้ตายนั่งอยู่เพียงคนเดียว จากนั้นคนร้ายได้ช่วยกันจับผู้ตายเอาไว้ ก่อนใช้มีดจ้วงแทงจนเสียชีวิตคาที่ ก่อนจะแยกย้ายกันหลบหนีไป
พ.ต.อ.เจริญ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายไปได้มีเรื่องเขม่นกับกลุ่มคนร้ายมากกว่า 10 คนที่ร้านหมูกระทะดังกล่าว ต่อมาต่างฝ่ายต่างโทรตามพรรคพวก เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุจึงเกิดการตะลุมบอนชกต่อยกัน แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ตายนั้นมีน้อยกว่า ต่างคนต่างแยกย้ายวิ่งหนีเอาชีวิตรอด โดยที่คนร้ายได้วิ่งไล่ตามผู้ตายจนมาทันที่เกิดเหตุ และใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายจนเสียชีวิต ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พอจะทราบถึงลักษณะรูปพรรณของคนร้ายแล้ว ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป.
รวบม้งกินปูนร้อนท้องควบกระบะซุกยาบ้ากว่าแสนเม็ดค่า 36 ล้าน
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต ผบก.ภ.จ.เชียงราย สืบทราบข้อมูลว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบขนยาบ้าจำนวนมากจาก อ.ปาง จ.เชียงใหม่ ผ่านเข้ามาทาง อ.แม่สรวย เพื่อจะไปส่งให้ลูกค้าที่ กทม. จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ ดีแก้ว รอง ผกก.ป.สภ.แม่สรวย นำกำลังชุดสายตรวจ ร่วมกับ ชุด ตำรวจบ้าน-ชุมชน ฝ่ายปกครอง ไปตั้งจุดสกัดและด่านตรวจ ที่ตู้ยามบริการประชาชนป่าแดด หมู่ 14 บ้านใหม่เจริญ ต.ป่าแดด บนถนนสายระหว่าง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กับ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในเวลาต่อมา พบรถยนต์ปิกอัพ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว แบบแคป ทะเบียน ฒฉ 5726 กรุงเทพมหานคร ขับผ่านจุดตรวจมา จึงให้สัญญาณหยุดรถ เพื่อทำการตรวจค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย
ภายในรถพบ นายสุชาติ แซ่ มั่ว อายุ 33 ปี ชาวเขาเผ่าม้ง อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 7 บ้านแม่ตะละ ต.สันสลี อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เป็นคนขับรถคันดังกล่าวมาตามลำพังคนเดียว และที่กระบะท้ายไม่ได้บรรทุกสิ่งของอื่นแต่อย่างไร จึงเชิญตัวลงจากรถ ค้นในตัวไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างไร สอบถามแล้วจะเดินทางไป กทม. จากนั้นนายสุชาติ ได้กินปูนร้อนท้องด้วยการที่จู่ๆก็เสนอเงินให้ตำรวจ 10,000 บาท เพื่อขอรีบขับรถเดินทางต่อ ทำให้ตำรวจรู้สึกผิดสังเกตจึงเข้าไปตรวจค้นภายในรถ กระทั่งได้กลิ่นยาบ้าโชยออกมา และบริเวณที่นั่งท้ายคนขับตรงกลางที่นั่งใต้เบาะระหว่างลำโพงข้างซ้าย-ขวา พบยาบ้าวางเรียงกันเป็นมัดๆ ไม่ได้ซุกซ่อนในกระเป๋า หรือไม่มีวัสดุอื่นใดมาปิดให้มิดชิด รวม 60 มัด เป็นยาบ้านับได้จำนวน 120,000 เม็ด จึงนำตัวพร้อมของกลางส่ง พ.ต.ท.จักรี วงค์คำ สวส.สภ.แม่สรวย สอบสวนดำเนินคดี
โดย นายสุชาติ ให้การรับสารภาพ ว่า ถูกว่าจ้างจากชายไม่ทราบชื่อซึ่งชาวเขาเผ่าเดียวกัน ให้ไปรับยาบ้านจำนวนดังกล่าวที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และให้นำไปส่งลูกค้าที่ กทม. โดยจะได้ค่าจ้างจำนวน 4 แสนบาท จึงขับรถออกจาก อ.ฝาง และใช้วิธีไม่ขับเข้า อ.เมืองเชียงใหม่ แต่ขับอ้อมมาออกที่ อ.แม่สรวย หมายจะผ่านไปทาง อ.วังเหนือ จ.ลำปาง แทน แต่มาถูกจับได้เสียก่อน สำหรับยาบ้าล๊อตนี้ หากเล็ดลอดเข้าไปถึง กทม. จะมีมูลค่ากว่า 36 ล้านบาท จึงแจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง.