เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์ขอให้ทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนจากข่าวที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่พอใจการจัดทำแผนงานของศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ซึ่งที่จริงแล้ว นายกรัฐมนตรีบอกว่า แผนการปฏิบัติที่ถูกส่งมานั้น เป็นแผนปฏิบัติงานปกติของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 17 กระทรวง แต่ไม่ใช่แผนแก้ไขปัญหา จึงขอให้กลับไปปรับปรุงเป็นแผนยุทธศาสตร์ร่วมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงต้องมีการจัดลำดับความเร่งด่วนของแผนแต่ละกระทรวง ตรงกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วส่งไปยังกปต.หรือเลขาธิการสมช.เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี สำหรับโครงสร้างระบบการทำงานของศปก.กปต.ได้ถูกจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการปรับการทำงานที่ไม่มีความซ้ำซ้อน แต่มีการประสานการทำงานและตอบสนองต่อปัญหาลักษณะวันต่อวัน เน้นงานด้านการข่าวที่เป็นเอกภาพ ทั้งนี้ตนจะลงนามในเย็นวันเดียวกันนี้(17 ส.ค.) แล้วเสนอต่อนายกรัฐมนตรีลงนามอนุมัติต่อไป
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการอนุมัติโครงสร้างนี้แล้ว จะเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที โดยใช้พื้นที่ของตึกสมช. ทั้งนี้ยังไม่มีการกำหนดตัวบุคคลมาทำหน้าที่เลขานุการศูนย์นี้ แต่รองเลขานุการ มี 3 คนจาก สมช. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ส่วนการรวมข่าวและติดตามสถานการณ์นั้น เจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ จะมาทำงานร่วมกันที่สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ(สขช.) เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วส่งข่าวมารวมกันเพื่อให้ทุกคนได้รับทราบข้อมูล และหน่วยงานปฏิบัติสามารถนำข่าวตรงนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้เชื่อว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ จะเห็นผลความรุนแรงจะค่อย ๆ ลดลง และเห็นภาพของปัญหาที่ชัดขึ้น ขณะเดียวกันในช่วงเวลาเดียวนี้จะมีการปรับตัวบุคลากรในการทำงาน โดยให้อิสระในการคัดเลือกทีมงานแล้ว เช่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีสิทธิ์เลือกผู้ใต้บังคับบัญชามาทำงาน ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเลือกนายอำเภอ รวมถึงให้อำนาจแก่แม่ทัพภาคที่ 4 เลือกคนทำงานเช่นกัน และถ้าคัดเลือกมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ผู้บังคับบัญชาจะถูกพิจารณาเป็นคนแรก
ส่วนเหตุคาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ตนลงไปทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อีกทั้งยังแสดงความห่วงใยเรื่องนี้ และสอบถามถึงจุดอ่อนที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในช่วงที่ไม่มีการสูญเสีย เพราะเขาไม่ต้องการให้มีการเสียชีวิต เนื่องจากมีญาติพี่น้องของเขาทำงานอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม ได้โทรศัพท์พูดคุยกับพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ถึงสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม ตลอดจนการย้ำเตือนให้พูดคุยกับกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่พลเรือนในพื้นที่ว่าต้องมีการตรวจตราเข้มงวดมากขึ้น เพราะรถที่ถูกใช้ทำระเบิดครั้งนี้เป็นรถที่เรากำลังตามหาถูกปล้นมาจากจ.ยะลา และป้ายทะเบียนติดอยู่ด้านหน้ากับด้านหลังรถเป็นคนละป้าย
อีกทั้งเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ในเหตุการณ์ไล่ยิงทหาร 4 นาย อย่างไรก็ตาม ได้พูดคุยกับฝ่ายตำรวจแล้วว่าต่อไปนี้ขอให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบยานพาหนะที่เข้า-ออกสถานที่ราชการต่าง ๆ ของพลเรือน เช่น ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล เป็นต้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอจนถูกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพราะที่ผ่านมาไม่มีตรวจตรา ผู้ก่อเหตุจึงเข้าไปได้ในฐานะผู้เข้ามาติดต่องาน นอกจากนี้พบว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของเครือข่ายเดิมของโรงเรียนธรรมาวิทยามูลนิธิ และโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม ร่วมมือกัน และอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้ก่อเหตุอยู่และคาดว่าคงใช้เวลาไม่นานจะสามารถจับกุมตัวไว้ได้.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น