วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ศึกซักฟอกรัฐบาลเริ่มแล้วส.ว.สับเละรับจำข้าว
ญัตติอภิปรายทั่วไปเริ่มแล้ว ครมปูสลับหน้าเข้าฟังวุฒิสภา เน้นประเด็นรับจำนำข้าว
เมื่อเวลา 13.00 น.ที่รัฐสภา ในการการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานได้พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 โดยมีนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง พล.อ. พฤณท์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ร่วมฟังการอภิปราย โดยประธานแจ้งมีส.ว.ร่วมลงชื่ออภิปรายทั้งสิ้น 56 คน ให้เวลาคนละ 10 นาที และในวันนี้อภิปรายได้ 25 คน ส่วนผู้เสนอญัตติให้เวลาแถลงเปิดญัตติคนละ 30 นาที และให้คณะรัฐมนตรีตอบชี้แจงทั้งสิ้น เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้เสนอญัตติกรณีการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด งบประมาณ 4.05 แสนล้านบาท มีส.ว.ร่วมลงชื่อ 82 คน แถลงเปิดญัตติว่า โครงการรับจำนำข้าวมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด มีเสียงคัดค้านจากทุกภาคส่วนแม้แต่ภายในรัฐบาลยังเข้าใจว่าคนที่มาคัดค้านโครงการคือพ่อค้าข้าวที่เสียประโยชน์ แต่ความจริงมีชาวนาถึง 3 ล้านครอบครัว ไม่ได้รับประโยชน์
สำหรับข้อเสียของโครงการจำนำข้าว คือ 1.ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้ไม่มีข้าวมาเข้าร่วมโครงการหลายแสนครอบครัว แต่ชาวนาในภาคกลางที่ร่ำรวยกลับได้ประโยชน์มากกว่า จนอาจส่งผลต่อระบบชนชั้น 2.เป็นโครงการอาจมีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ในส่วนการขายข้าว ซึ่งไม่เห็น ครม.หรือใครจะเข้ามาตรวจสอบ ไม่มีการรายงานว่า มีการขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับชาติใดบ้างเป็นจำนวนเท่าไหร่ โดยอ้างว่าเป็นความลับ การไม่เปิดเผยข้อมูลอาจหมายถึงความไม่โปร่งใสของโครงการ
3.ความสามารถในการขายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ถือว่าต่ำมาก เพราะมีข้าวค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก 4.ไม่การเปิดเผยหรือทำบัญชี กำไร ขาดทุน ของโครงการรับจำนำข้าว ถามไปยังส่วนงานใด ๆ ไม่มีใครทราบ ถือเป็นโครงการที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งยังมีข้าวเก่าที่ยังค้างสต็อกอยู่อีกมาก 5.ขอเรียกว่าเป็นลักษณะโครงการขี่ช้างจับตั๊กแตน หลายคนในรัฐบาลชอบขี่ช้างอยู่แล้ว ดังนั้น อยากเรียกร้องให้รัฐมนตรี ชี้แจงเปิดเผยข้อมูล การซื้อขายข้าวแบบปกติ และแบบรัฐต่อรัฐ หากเห็นว่าเป็นเรื่องอาจส่งผลกระทบให้ประชุมลับได้ พร้อมขอเสนอแนะไปยังรัฐบาล ว่า ไม่อยากให้พุ่งเป้าไปที่การส่งออกข้าวให้มาก แต่ขอให้ส่งเสริมการปลูกข้าวที่มีคุณภาพ จำกัดจำนวนรับจำนำที่ชัดเจน มุ่งช่วยเหลือชาวนารายย่อย ลดจำนวนการปลูกข้าวของประเทศลงเพื่อแบ่งพื้นที่ปลูกพืชพลังงาน
ด้าน นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา เป็นผู้เสนอญัตติกรณีการบริหารราชการแผ่นดินที่ส่อว่า จะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง โดยมี ส.ว. 61 คน ร่วมลงชื่อ กล่าวตำหนิรัฐบาลก่อนการแถลงเปิดญัตติว่า เคยชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มาจากนักบริหารและนำประสบการณ์มาประยุกต์ใช้กับส่วนราชการได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเห็นเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่ถนัดในการตอบโต้ในทางการเมือง แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ใช้ความประสีประสา ทำให้มีทางออกใหม่ แต่ปล่อยให้ผู้อาวุโสในพรรคการเมืองเล่นการเมือบแบบเดิม ๆ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี เข้าประชุมสภาฯเพียง 2 ครั้ง คือ การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายเพียงช่วงสั้นๆ ทั้งที่วุฒิสภามีท่าทีดูเป็นมิตรกว่าสภาผู้แทนราษฎรและน่าเสียดายที่รัฐบาลใช้เวทีของวุฒิสภาเล่นเกมการเมือง อย่างไรก็ตาม การเมืองนอกสภาจะลดลงได้มาก หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับสภามากกว่านี้ รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มามีอันเป็นไป เพราะการไม่ยอมรับในการตรวจสอบของรัฐสภา
นายวิชาญ กล่าวเปิดญัตติว่า ขอนำประเด็นปัญหา 4 กรอบใหญ่หารือต่อรัฐบาล เรื่องพืชผลทางการเกษตรโดยในช่วงปีเศษ ๆที่ผ่านมามีปัญหาพอสมควรโดยเฉพาะข้าว การรับจำนำข้าวถือเป็นการโครงการที่ดี ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาล ในเรื่องการยกระดับราคาข้าว ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่มีปัญหามาก ไม่ว่าจะเป็นขบวนการที่ดำเนินการหรือผลลัพธ์ที่ได้ จึงอยากให้รัฐบาลลงไปดูเรื่องความโปร่งใส การให้ข้อมูลตรงไปตรงมา ปิดเปิดบางส่วนทำให้เกิดความสงสัย เพราะในระยะยาวเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่สามารถรับจำนำข้าวหรือพืชผลอื่นเช่นนี้ต่อไปได้ เพราะประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯออสเตรเลีย หรือในยุโรปที่ดำเนินการในสิ่งนี้มาก่อนสุดท้ายไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะรัฐบาลไม่มีเงินงบประมาณมากพออุดหนุนการขาดทุนทุกปีได้ ปัญหาเกิดจากการหาประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รัฐบาลแม้จะไม่ได้หาประโยชน์เองแต่ต้องกำกับดูแล ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส
นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน ชีวิตของ เจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี สาเหตุจากการข่าวที่ยังมีความบกพร่อง ยุทธศาสตร์ที่ใช้อ้างว่ามาถูกทางแต่เหตุร้ายกลับเกิดขึ้นรายวัน และงบประมาณที่ใช้กันอย่างระเบิดเถิดเทิงที่แต่ละกระทรวง ทบวงกรมต่างคนต่างใช้ ไม่ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาได้ รัฐบาลต้องกลับมาทบทวนมีหน่วยงานที่คัดกรองการใช้งบประมาณ ส่วนการที่นายกฯรับจะดูแลเองคิดว่า ไม่น่าจะมีเวลา อยากให้ตั้งรองนายกฯสักคนที่มีศักยภาพไปนั่งในพื้นที่อยู่ในศอ.บต.นั่งบัญชาการเชื่อว่า 3 เดือน จะเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะปัญหาคือการบูรณาการ ปัญหาน้ำแล้ง อีกประมาณ 5 เดือนหลายพื้นที่จังหวัดจะเผชิญน้ำแล้ง แต่วันนี้นายกฯได้มอบหมายและสั่งการลงไป เป็นการทำแบบเดิม ๆให้ไปดูปัญหาตรงนี้ให้กระทรวงหน่วยงานแก้กันไป การแก้ปัญหาอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีควรจะต้องหันกลับมาดูเรื่องบูรณา จะต้องทำเป็นแผน
“ในส่วน เรื่องปรองดองนั้นเห็นว่ารัฐบาลยังทำน้อยมาก ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรทำเองเพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่ส่วนได้เสีย เป็นไปได้รัฐบาลควรจะมอบหมายให้ส่วนงานอื่นที่ไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงเข้ามาดำเนินการ อย่างไรก็ตามวันนี้เรามีคนมาชุมนุม เพราะต้องการแช่แข็งประเทศไทย ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะปัญหาที่ยกมา ไม่ได้ตกผลึกเป็นปัญหาที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เมื่อเขาใช้สิทธิ์มาชุมนุมต้องยอมรับตรงนี้ แต่ที่รัฐบาลดำเนินการเห็นการประกาศใช้ พ.รบ.มั่นคงฯ แต่สิ่งไม่เห็นคือผมอยากเสนอให้รัฐบาลเชิญคณะผู้ชุมนุมมาประชุมกันว่า ที่ออกมาชุมนุมติดขัดหรือมีปัญหา เรื่องไหนจะลดความรุนแรง หากหากให้ชุมชุมกันไปดีไม่ดีปัญหาจะเกิดย้อนกลับมา”นายวิชาญกล่าว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น