ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
www.becomz.com

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ รามคำแหง

เปิดบริการซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงที่สะดวกรวดเร็ว ด้วยทีมงานช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ มืออาชีพ ประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่จะไปบริการซ่อม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน วัด โรงเรียน ร้านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ โดยคิดอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง 400 บาทต่อเครื่องเท่านั้น

การให้บริการ

หากลูกค้ายืนยันการซ่อมแล้วทางเราออกเดินทาง ไปแล้วยกเลิกการซ่อมในขณะที่ทางเราเดินทางไปถึงแล้วจะต้องเสียค่าเสียเวลาและการเดินทาง 400 บาท

พื้นที่ที่บริการ

ซ่อมคอมนอกสถานที่,ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106 เริ่มต้นที่ 400บาท/เครื่อง (ปล. ให้บริการเฉพาะเขตพื้นที่ รามคำแหง บางกะปิ นวมินทร์ เสรีไทย ลาดพร้าวเฉพาะ บริเวณ จากเดอะมอลบางกะปิถึงโชคชัย 4 )

อัตราค่าบริการ becomz

ติดต่อ : TaNDesgin โทร. 095-219-0106 www.i-comz.com

บริการหลังการซ่อม โดย www.i-comz.com

ทุกงานซ่อมรับเราประกัน 1 สัปดาห์เต็ม หากปัญหาเดิมยังอยู่ เราจะไปบริการซ่อมให้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยใบ้บริการกับทาง www.i-comz.com เรามีบริการซ่อมคอมออนไลน์ฟรีให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่า

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โจรใต้เหิมซุกบึ้มร้านน้ำชาวังโต้ดับ2เจ็บ5







วันนี้ (28 มิ.ย.) พ.ต.ท โสภิดา ชัยฤทธิ์ พนักงานสอบสวน สภ.นาทวี จ.สงขลา ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดบริเวณร้านน้ำชาวังโต้ เลขที่ 5/3 หมู่6 ถนนเพชรเกษม เส้นทางสายนาทวี-ลำไพล ข้างบริษัทพิธานโชว์รูมรถโตโยต้า สาขานาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต ชินทัต มีศุข รองผบช.ภ.9 พ.ต.อ สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบก.ภ.จว.สงขลา  พ.ต.อ มารุต เรืองจินตนา ผกก.สภ.นาทวี และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตชด.43 สงขลา หน่วยกู้ภัยในพื้นที่ไปตรวจสอบ
  
ที่เกิดเหตุพบเป็นร้านน้ำชาขายอาหารเช้าชื่อร้านวังโต้ ทำเป็นซุ้มหลังคามุ่งด้วยจากมีรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบ ข้างรั้วพบหลุมระเบิดกว้างประมาณ 20 ซม.มีกระถางต้นไม้ล้มแตกกระจายและมีรถจยย.จอดล้มตะแครงอยู่ 2 คัน คันแรกยี่ห้อฮอนด้า เวฟ 110 สีน้ำเงิน ทะเบียน ขพว 211 สงขลา และรถจยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่  สีขาวแดง ทะเบียนป้ายแดงสภาพพังเสียหายเล็กน้อย ภายในร้านพบผู้เสียชีวิตคาที่ 1 คนและมีผู้บาดเจ็บทั้งหมดจำนวน 6 คน เจ้าหน้าที่ช่วยกันลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งไปรักษาตัวที่รพ.สงขลานครินทร์(มอ)หาดใหญ่

   เบื้องต้นทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ ด.ต จำรัส ทองเกตุ อดีต ตชด.ที่ 43 และด.ต วีระ คงแก้ว ตำรวจนอกราชการ ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 5 คนสาหัส 2 คนคือ นายสมภพ เสาวณีพิทักษ์ และนายคมสัน อุยสกุล ทั้งคู่คนยังอยู่ในห้องไอซียู และผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 คนประกอบด้วยนายดุสิต มันทติ นายธานี สักจีน และนายจ่าย ขาวสังข์
  
จากการสอบสวนทราบว่าขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นช่วงเวลาเช้ามีลูกค้าจำนวนมากเข้ามาใช้บริการในร้านสั่งอาหารและเครื่องดื่มนั่งอยู่บริเวณภายในร้าน อยู่ๆก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวบริเวณข้างร้านน้ำชา พร้อมกับมีเสียงร้องของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าวซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่วิทยาการ ได้เข้าทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุพร้อมเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดแบบแสวงเครื่องจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือ น้ำหนักประมาณ 5 กิโลบรรจุใส่ในกล่องเหล็ก ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเป็นฝีมือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ.

Share:

2เสี่ยรถหรูพบดีเอสไอขอเลื่อนแจง


.

2เสี่ยรถหรูพร้อมทนายเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอขอเลื่อนแจงคดีรถหรูเพลิงไหม้ อ้างเอกสารไม่พร้อม รับซื้อรถ 6 คันจริง แต่ซื้อไว้ขับเอง ด้านอดีต ผบ.ตร.ก็ดอดชี้แจง
วันนี้ 28 มิ.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เวลา 14.30 น. นายนฤนาท  และนายธนันท์  ควรสวัสดิ์  ผู้ต้องหาคดีรถหรูเลี่ยงภาษี 6 คันที่ถูกเพลิงไหม้ ที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา  พร้อมทีมทนายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอตามกำหนดนัดนำเอกสารเข้าชี้แจง หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามความผิดพ.ร.บ.ศุลกากรและสรรพสามิตไปแล้วแต่ยังปฏิเสธจะให้การ

พ.ต.ท.กรวัชร์  ปานประภากร  ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค  กล่าวว่า  วันนี้ ผู้ต้องหาได้แจ้งกับพนักงานสอบสวนขอเลื่อนการชี้แจงออกไปเป็นวันที่ 17 ก.ค.นี้ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถรวบรวมเอกสารประกอบคำชี้แจงได้สมบูรณ์  แต่คาดว่าในวันที่ 17 ก.ค.นี้จะสามารถนำเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าชี้แจงพร้อมกับการให้ปากคำเพิ่มเติม  ซึ่งการขอเลื่อนนัดถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหา  ดีเอสไอเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควร เพราะหากรายละเอียดในการชี้แจงไม่ชัดเจนอาจเกิดปัญหาภายหลัง  เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จึงให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 17 ก.ค. 56 แทน
 
ด้านนายสันติ  ปิยะทัต ทนายความ กล่าวว่า  เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองรถทั้ง 6 คันมีจำนวนมาก  จึงต้องใช้เวลาในการรวบรวม เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่ค้นหาได้แล้วบางส่วนแต่ยังไม่สมบูรณ์ โดยเอกสารที่จะนำมาชี้แจงมีทั้งเอกสารทางการเงินและเอกสารการซื้อขายรถซึ่งการนำเข้ารถเหล่านี้มีขั้นตอนหลายอย่าง  ทั้งนี้ ยอมรับว่า ผู้ต้งอหาทั้งสองคนเป็นเจ้าของรถทั้ง 6 คันที่ถูกเพลิงไหม้ แต่เป็นการรับซื้อต่อจากบุคคลอื่นยังไม่ได้จดทะเบียน และขอไม่เปิดเผยว่าซื้อมาจากใคร  ขอให้การกับพนักงานสอบสวนก่อน  จากนั้นจะทำบันทึกคำให้การมอบให้สื่อมวลชน  เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสังคม  

เมื่อถามว่าทั้งสองคนประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้ารถหรูหรือไม่ นายสุนทร ชูแก้ว  ทนายความอีกคนของนายนฤนาทและนายธนันท์  กล่าวว่า  ทั้งสองคนไม่ได้ประกอบธุรกิจดังกล่าว แต่เป็นการซื้อรถมาเพื่อจะใช้เอง  ส่วนรายละเอียดอื่น  ๆยังไม่ขอชี้แจง  เพราะเกรงว่าอาจส่งผลกระทบกับคดีซึ่งอาจมีผู้ต้องหารายอื่นที่จะเข้ามอบตัวภายหลัง

อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้มี อดีตผบ.ตร.ท่านหนึ่งได้เดินทางไปติดต่อธุระที่ดีเอสไอด้วยท่าทางรีบร้อน และพยายามหลบหน้าสื่อมวลชน คาดว่าอาจจะมาชี้แจงกรณีรถยนต์หรูก็เป็นได้ ซึ่งรายละเอียดจะนำเสนอให้ทราบต่อไป.
Share:

สลดคู่รักพิเรนทร์เล่นเสียวริมหน้าต่างพลัดร่วงกระแทกพื้นสยอง2ศพ


เผยอากาศร้อนทำให้ชาวจีนจำนวนมากคิดจะเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ทั้งคู่โชคร้ายหน้าต่างห้องพักทรุดโทรมเกินไป สุดท้ายสังเวยชีพสุดสยอง

วันนี้ (28 มิ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาย-หญิงคู่รักในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ได้เกิดอุตริมีเซ็กส์กันอย่างโลดโผนริมหน้าต่างแล้วเกิดพลาดร่วงตกลงมาจากตึกความสูงหลายชั้น ร่างกระแทกพื้นเสียชีวิตคาที่ 2 ศพ อย่างน่าสลดใจ 
ทั้งนี้รายงานระบุว่า อากาศที่ร้อนในช่วงนี้ มีผลอย่างยิ่ง อาจทำให้คู่รักชาวจีนจำนวนมากมีแนวคิดอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศการมีเซ็กซ์กัน แต่โชคร้ายที่ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าหน้าต่างห้องพักมีสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะแบกรับน้ำหนักของทั้ง 2 คนไหว จึงทำให้เกิดเหตุสลดดังกล่าว ซึ่งภาพสุดสลดนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ตและมีการวิจารณ์กันกระหึ่ม.
Share:

“เหลิม" ไม่น้อยใจโดนปลด แฉ "กู้3.5แสนบ้าน-จำนำข้าว" ทำพรรคตกต่ำถึงขั้นถูกยุบ

วันนี้( 28 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลตร. ที่กำลังตกเป็นข่าวถูกโยกย้ายไปเป็น รมว.แรงงาน ได้เดินทางมามอบนโยบายการปฏิบัติราชการ ในงานสัมมนาการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายการบริหารราชการของตร. โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.และนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร. - ผบก.กว่า 300 นาย เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ก่อนที่จะเริ่มมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิม ที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ได้เดินทักทายและพูดคุยกับนายตำรวจที่เข้าร่วมประชุมอย่างเป็นกันเอง
       
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ต้องพึ่งพาตำรวจ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางอยู่ได้ และ 2 ปีที่ผ่านมา ตนมีชื่อเสียงได้เพราะตำรวจช่วย เนื่องจากผลสำรวจทุกครั้ง หากไม่นับนายกฯ เอาแค่ระดับรองนายกฯ และระดับรัฐมนตรี ตนได้คะแนนสูงตลอด อย่างไรก็ตาม หลักการบริหารราชการแผ่นดิน ตำรวจต้องเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรม ทั้งในงานด้านการสืบสวนและสอบสวน ตำรวจยุคนี้มีเกียรติวินัยกล้าหาญเหมือนเดิม แต่หลักการบริหารราชการที่ดีต้องขึ้นอยู่กับองค์กร แม้ที่ผ่านมาอธิบดีกรมตำรวจ จะมาจากฝ่ายทหาร จึงไม่ได้ทำงานเพื่อองค์กรตำรวจ โดยทุกเช้าจะไปอยู่ตามหน้าบ้านนายกฯ หรือบ้านรัฐมนตรี แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะในยุค พล.ต.อ.อดุลย์ เป็น ผบ.ตร.จะตื่นเช้ามาประชุม ศปก.ตร.ทุกวัน แต่ไม่ใช่ว่า ผบ.ตร.จะไปพบนายกฯ ไม่ได้ แต่จะไปพบเมื่อมีการเทียบเชิญ ไม่ใช่เสนอหน้าไปพบเองแบบเมื่อก่อน
          
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ตำรวจต้องยึดหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม หลักการมีส่วนร่วม หลักการมีความรับผิดชอบ และหลักในการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งตนไม่เคยเข้าไปแตะต้องแม้ตำแหน่งเดียว ให้เป็นไปตามที่ ผบ.ตร.เสนอมา แต่เคยเสนอคนเดียว คือ ตำแหน่ง ผบก.ป. โดยเป็นการเสนอย้ายตามนโยบาย ไม่ได้บอกว่าย้ายเพราะเป็นคนชั่วหรือเลว แต่เมื่อโหวตแล้วแพ้แต้มก็จบไป แต่ขอยืนยันว่าไม่เคยมีลูกน้อง ฉะนั้นเมื่อจากไป ก็ไม่ต้องมากลัวการล้างบาง ส่วนกรณีลดระดับอาวุโสในการแต่งตั้งระดับรอง ผบก.ลดลงไปจาก 33% เหลือ 25% นั้น หากทำตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ได้อยู่แล้ว แต่นี่มาทำก่อนโยกย้ายก็เลยมีปัญหา จึงให้ พล.ต.อ.อดุลย์ ไปพิจารณามาอีกรอบ
         
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวช่วงหนึ่งว่า การที่ถูกปรับย้ายไปเป็นรมว.แรงงาน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก มาแทนในตำแหน่งรองนายกฯ ดูแลตร.นั้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติ เพราะทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขอยืนยันว่าไม่ได้น้อยใจ เพราะการเมืองไม่มีใครรักใคร แต่เป็นเรื่องของการประสานผลประโยชน์ และให้เกิดความพอดี ฉะนั้นการปรับย้ายนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อวาน (27 มิ.ย.) ก็มีนักข่าวมาถามว่า หากมีม็อบจะทำอย่างไรก็ตอบว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของ พล.ต.อ.ประชาและตำรวจที่ต้องดูแล ส่วนผมจะดูแลเรื่องแรงงานต่างด้าว หากมีการปรับให้ออกอีกรอบเป็น ส.ส.ธรรมดา ก็ไม่เป็นไร ส่วนที่มีข่าว นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงานน้อยใจ เพราะไปไล่ให้ออกจากตำแหน่งนั้น ไม่ได้ไล่ และก็ไม่ได้อยากให้ไป
           
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า คำถามที่ว่าเล่นการเมืองแบบท้าทายนั้น เพราะเป็นนิสัยส่วนตัวว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทุจริตและคอรัปชั่น แต่ก็ยังมีนักข่าวบอกว่าได้ดี เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตรงนี้ขอเล่าว่า ตั้งแต่หลังปี 2547 ได้หยุดเล่นการเมือง แต่หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่วันนั้นยังไม่ได้เป็นนายกฯ ไปตามที่บ้านริมคลองให้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลอนดอน โดยมีการทาบทามให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ทาง พล.อ.ชวลิต กลับ ปฎิเสธ เพราะมีการตั้งพรรคคู่ขนาน อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาจะตั้งพรรค และจะหาเสียงให้ หากพรรคชนะเลือกตั้งจะให้ผมเป็น รมว.มหาดไทย ก็ตอบตกลง และเมื่อกลับมาที่บ้าน นายสมัคร สุนทรเวช ก็มาที่บ้านเพื่อชวนเล่นการเมือง ก็ตอบตกลงเพราะได้ไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้แล้ว เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ก็ได้เป็นรัฐมนตรีจริง เมื่อครบ 4 เดือนออก เพราะนายสมัคร ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเพิกถอนสิทธิ์ความเป็นนายกฯ เนื่องจากจัดรายการทำอาหาร
           
"พอมาถึงยุครัฐบาลของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผมก็ถูกโยกไปอยู่สาธารณสุข ก็ไม่รู้ว่าให้ไปทำอะไร เพราะมีแต่เข็มฉีดยา การเมืองในยุคนั้นจนมาถึงวันนี้เข้าสู่กระบวนการเหมือนกันหมด ผมวางแผนมาตลอด เขียนแผน 9 ข้อ ที่ผมทำงานได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะ ผบ.ตร.มีวินัยและเชื่อฟังผม ขอถามสมัยก่อนคนที่มาดูแลตำรวจ รับผิดชอบเหมือนผมไหม" รองนายกฯ ระบุ
          
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้เป็น ผอ.ศปก.กปต.ทันทีที่ได้รับผิดชอบก็ได้เดินทางไปหาทหาร พร้อมบอกว่านายกฯ มอบหมายให้รับผิดชอบส่วนนี้ จะยอมรับได้ไหม ทางทหารก็บอกว่าได้ ซึ่งมองว่าปัญหาภาคใต้แก้ยาก หลังจากนั้นได้มีการมอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.ให้ไปพูดคุยกับฮัสซัน ตอยิบ พร้อมกับความพยายามที่จะนำตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพบนาจิบ ราซัค นายกฯ มาเลเซีย เพื่อให้เกิดการเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้หารือกับ พล.ต.อ.อดุลย์ เห็นว่าถ้าเอานายกฯ ไปด่านหน้า ก็เหมือนเอาขุนไปเดินหน้าเบี้ย แต่ท้ายที่สุดเรื่องก็เสร็จ และมีการแถลงข่าวที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งก็รู้สึกไม่ปกติ จึงได้สอบถามไปยัง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช.ว่าทำไมก่อนหน้านี้ ไม่มีการรายงานมายัง ศปก.กปต.ให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ ซึ่งเรื่องนี้ทาง พล.ท.ภราดร ก็เข้าใจ แต่พอมีการประชุม ศปก.กปต.กลับไม่มีการใส่ชื่อผมในที่ประชุม ท้ายที่สุดนายกฯ จึงต้องสอบถามว่า ทำไมถึงไม่เข้าประชุมก็ตอบกลับไปว่าเขาไม่ใส่ชื่อผม
            
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า พ.ต.อ.ทวี ไม่เคยฟังผม ทำงานแบบสวัสดีครับ แล้วเอาเงินไปแจกมัสยิด แต่ไม่แจกทหารไทย นรต.รุ่น 37 อย่าง พ.ต.อ.ทวี ไม่เคยมองมาที่คณะทำงาน ไม่เคยมองทหาร แต่กลับเอาแต่พวกตัวเอง เอาพวก ศอ.บต.ไม่เคยรายงานผม โดยเรื่องที่ทางบีอาร์เอ็นเรียกร้อง 5 หรือ 7 ข้อ ก็ไม่มารายงานต่อคณะทำงาน  แต่กลับแจกข่าวให้นักข่าว และกรณีการสังหาร 6 ศพที่ปัตตานี ก็รายงานว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อทาง พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบช.ศชต.ไปจับคนร้ายได้ 1 คนและคนร้ายถูกฆ่าตาย 1 คน ซึ่งคนที่ถูกจับให้การชัดเจนว่า 6 ศพที่ปัตตานี คนร้ายที่ตายไปเป็นคนสั่งฆ่า จึงเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะมีการแถลงข่าว แต่ พ.ต.อ.ทวี ก็ไม่ยอม อ้างว่าจะทำให้ทำงานลำบาก ถ้า พ.ต.อ.ทวี ไม่ฟัง ผมจะเป็นประธานทำไม

  "พ.ต.อ.ทวี จะไม่ให้เกียรติผมก็ได้ แต่ต้องให้เกียรติคณะทำงานด้วย แต่หากคุณไม่พอใจผม ก็ไปวิ่งเต้นโยกย้ายผมเลย สุดท้าย ก็ทำได้ เอาความเท็จไปฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนเป็นที่มาของการปรับ ครม.ให้ผมออกจากเก้าอี้ แล้วเอา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกมาแทน เพราะ พ.ต.อ.ทวี เป็นคนไปฟ้องว่า เฉลิมเป็นคนตั้งบ่อน ตำรวจก็ไม่พอใจ นักข่าวที่สนิทกันก็มาถาม ผมก็ไม่แก้ตัว แต่ให้ไปถาม ผบ.ตร. ถาม ผบช.น. หรือ ผบก.ภ.จว.ว่า ผมเปิดบ่อนจริงหรือไม่ ผมขอสาบแช่งเลยว่า ใครเอาเรื่องนี้มาใส่ร้ายผม ขอให้มันฉิบหายเจ็ดชั่วโคตร ผมไม่กลัวโดนปรับออก ผมไม่ใส่ใจ ยินดีที่จะได้กลับไปเป็นผู้แทน ผมโตมาได้เพราะฝ่าฟันด้วยตัวเอง ไม่ได้เพราะใคร ไม่ใช่แมงดา แต่เป็นฝีมือล้วนๆ แต่ขอบอกว่า พ.ต.อ.ทวี เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลประสบปัญหาภาคใต้ ในทางการเมืองไม่มีใครอยากทะเลาะกับนายสมัคร และผม เพราะคนนั้นเป็นคนที่คิดผิด กินยาผิดซอง เรื่องนี้หากนายกฯ ไม่พอใจ หากปรับผมออกอีก ก็ไม่เป็นไร"  รองนายกฯ กล่าว
         
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การเมืองเข้าสู่โหมดแตกหัก เพราะ 2 ปีที่ผ่านมานายกฯ เอาตัวรอด แต่พรรคเจอปัญหา พรรคต้องประสบปัญหาเรื่องจำนำข้าวที่เน่า โดยนายกฯ มอบหมายให้ผมดูแล และผมก็เชื่อมือตำรวจ  ซึ่งทาง พล.ต.อ.วรพงษ์ เคยกล่าวหาว่าถ้าขั้นตอนการจำหน่ายมีการทุจริตจำนวนมาก รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้  และยังมีสถานการณ์การยั่วยุ จากกลุ่มหน้ากากขาว ที่เดินเครื่องหนักเพื่อล้มรัฐบาล ซึ่งในกลุ่มหน้ากากขาว จะมีพวกเสื้อเหลืองเก่า พวกพรรคการเมือง กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม และกลุ่มใหม่ รวมถึงการสร้างเงื่อนไขของคนเสื้อแดง ให้เกิดการทุบตี หากแดงจริงไม่มี ก็จะใช้แดงเทียม และเรื่องการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เป็นโครงการที่ดี แต่ศาลปกครองให้มีการประชาพิจารณ์ก่อนนั้น กู้เงินไม่ได้แล้ว และขั้นตอนต่อจากนี้เชื่อว่าจะมีการฟ้อง ป.ป.ช.ตรงนี้ตนยืนยันว่ามีมูลล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะศาลบอกแล้วว่านายกฯ ไม่มีอำนาจกู้ ซึ่งขัดมาตรา 157 นอกจากนี้ ยังมีกรณีร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ขณะนี้เขายังดูอยู่ว่า ถ้ายุบพรรคเพื่อไทยแล้ว จะมีสมาชิกเพียงพอในการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วมีสมาชิกไม่ครบ ก็ต้องดูต่อว่า ยุบพรรคแล้วเลือกตั้งครั้งต่อไปใครชนะ ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ ก็ยังไม่มีการยุบพรรค ผมอ่านการเมืองไม่ผิด.
Share:

ศิษย์ปู่เณรคำร่อนเทียบเชิญปูร่วมงานใหญ่ห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกต








ขณะที่บรรยากาศงานวันที่สองกร่อย คนบางตา ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ศิษย์เอกมั่นใจหลวงปู่จะกลับเมืองไทยเร็ว ๆ นี้ คุยส่งเทียบเชิญ นายกฯปู ร่วมงานพิธีสุดยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เชื่อไม่พลาดมาเป็นแขก 30 มิ.ย.นี้แน่นอน
ความคืบหน้ากรณีอื้อฉาว หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่กำลังตกเป็นข่าวครึกโครมถึงความไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติตนของสมณเพศ ชอบใช้ข้าวของราคาแพงหรูหราฟุ้งเฟ้อ รวมทั้งการเทศน์โปรดญาติโยมในบางครั้งพูดจาเกินจริง สร้างความกังขาและเคลือบแคลงใจให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นเข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่ ซึ่งทางพระผู้ใหญ่ขีดเส้นตายให้พระชื่อดังกลับมาชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 30 มิ.ย. 56 มิฉะนั้นจะขับไล่พ้นสังกัดเดิมตามข่าวนั้น
วันนี้ 28 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่สำนักสงฆ์ วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวันที่สองของการจัดงานมหาพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ปรากฎว่าเงียบเหงา มีเพียงบรรดาญาติธรรมที่ศรัทธานุ่งขาวห่มขาวจำนวนหนึ่งไปร่วมปฏิบัติธรรม ขณะที่ลูกศิษย์จากทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมงานบางตา ส่วนใหญ่ภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดแทบทั้งสิ้น
นายสุขุม วงประสิทธิ์ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์เอกหลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านทางสำนักปลัดสำนักรัฐมนตรี เพื่อขอเชิญให้นายกรัฐมนตรีมาเป็นแขกคนสำคัญ ในงานมหาพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลอง (ใหญ่ที่สุดในโลก) ในวันที่ 30 มิ.ย. 2556 นี้ ที่สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ขณะนี้หนังสือได้ถึงมือนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งงานนี้เป็นงานสำคัญเป็นงานประวัติศาสตร์ ของพี่น้องชาวจังหวัดศรีสะเกษ และของชาวภาคอีสาน จึงเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะมีความเมตตาเดินทางมาร่วมงานเนื่องจากภายในงานได้มีพระเถรานุเถระจากนานาชาติ อาทิ พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม ประเทศฝั่งเศส พระเถรานุเถระจากศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และฝรั่งเศส มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์  ซึ่งตลอดเวลาที่หลวงปู่เณรคำไปแสดงธรรมแต่ละประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลฝรั่งเศสได้ให้ความสำคัญรับเป็นพระอาคันตุกะเป็นแขกของรัฐบาล รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสยังมาให้การต้อนรับอย่างดี ถือว่าเป็นการดีที่เราได้เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศเหล่านี้
นายสุขุม กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลวงปู่เณรคำจะสะดวกกลับมาหรือไม่นั้น ขณะนี้มีสัญญาณที่ดีที่หลวงปู่เณรคำน่าจะกลับมาประเทศไทย แต่จะเป็นเมื่อไหร่อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านจะแนะนำ เพราะญาติโยมในประเทศไทยนับล้านคนรอคอยการกลับมาของท่านอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในงานวันพรุ่งนี้ (29 มิ.ย.) ซึ่งเป็นวันงานสำคัญ จะมีญาติโยมมาร่วมงานมากขึ้น เนื่องจากเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์.
Share:

ม้าเหล็กขยี้วันเดียว4ศพ เก๋งป้ายแดงเละ-เด็กหล่นตาย







ม้าเหล็กขยี้เก๋งป้ายแดงสังเวย 3 ศพ อีกรายหนุ่มวัย 14 ปี พลัดตกรถไฟดับสยอง
วันนี้ (28 มิ.ย.) ร.ต.ท.พิชิตชัย เดือนใส พงส.สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้รับแจ้งมีคนนอนเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณถนนทางข้ามรางรถไฟ ด้านหลังวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างจิตต์ฯ และแพทย์เวร รพ.ศรีสะเกษ ที่เกิดเหตุบริเวณร่องกลางรางรถไฟพบศพเด็กชายไม่ทราบชื่อและนามสกุล นอนเสียชีวิตอยู่ สภาพศพสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงขายาวสีดำ แขนขาด ใส้ทะลัก ใบหน้าเละ ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุพบซองเอกสารสีน้ำตาล ภายในมีเอกสารวุฒิการศึกษา ระบุชื่อ ด.ช.นาถวัฒน์ ทองสุข อายุ 14 ปี โรงเรียนบ้านหนองตอโพนสูงนาคำ ต.หนองฮาง อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคาดว่าเป็นของผู้ตาย
  สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายคือ ด.ช.นาถวัฒน์ ทองสุข จริง ซึ่งเพิ่งลาสิกขาจากการบวชเณร ที่ จ.นครราชสีมา ได้ไม่นาน และจะเดินทางมาศึกษาต่อที่บ้านเกิด โดยมีพี่ชายมาส่งขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ จ.นครราชสีมา เพื่อมาลงที่สถานีรถไฟกันทรารมย์ และต่อรถโดยสารเข้าบ้านเกิดที่ อ.เบญจลักษ์ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคาดว่าผู้ตายได้มานั่งอยู่ริมบันไดรถไฟและอาจมีอาการง่วงซึมเนื่องจากเป็นช่วงเช้ามืด หรืออาจเกิดพลาดลื่นตกบันไดรถไฟ จนเป็นเหตุให้ถูกรถไฟเหยียบและลากร่างไปไกลกว่า 100 เมตร เสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตามจะได้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งต่อไป
  ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.วีระชัย แก้วเหลา พงส.สภ.อุทุมพรพิสัย ได้รับแจ้งมีเหตุรถไฟชนรถยนต์เก๋ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่ทางข้ามทางรถไฟบ้านขะยูง ต.ขะยูง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจิตต์ฯ หน่วยกู้ชีพ และแพทย์เวร รพ.อุทุมพรพิสัย ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีขาว ทะเบียน ป้ายแดง1800 นนทบุรี ด้านข้างรถติดอยู่กับหน้ารถไฟดีเซลรางท้องถิ่น ขบวนที่ 426 ต้นทางจากจังหวัดอุบลราชธานี รับส่งผู้โดยสารที่ปลายทางจังหวัดนครราชสีมา ภายในรถยนต์พบผู้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย คือ นายบัญชา จันดาบุตร อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 187 ถนนสุโขทัย แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นคนขับ
และพบศพผู้ที่โดยสารมากับรถเสียชีวิตคาที่อีก 3 ศพ คือ นางกชนัช พลรักษา อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 165 ซอยจรัลสนิทวงศ์ 68 เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร น.ส.สายฝน รักณรงค์ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 3 ต.บ้านช่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา และ น.ส.ออมสิน จินดารัตน์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 451 ซอยจรัลสนิทวงศ์ 68 เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร  ติดอยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งใช้เครื่องมือตัดถ่าง นานกว่า 1 ช.ม. จึงสามารถนำผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกมาจากรถได้ทั้งหมด 
จากการสอบสวน นายบัญชา ให้การว่า เพิ่งเดินทางกลับมาจากกรุงเทพมหานคร เพื่อมาร่วมงานบุญที่ทางครอบครัวได้จัดขึ้น ก่อนเกิดเหตุไม่ทันระวังจึงขับรถข้ามทางรถไฟไปโดยไม่ได้มองรถไฟ จึงเกิดเหตุรถไฟพุ่งชนรถตนเข้าอย่างจัง และไถลติดรถไฟไปไกลกว่า 200 เมตร จนเป็นเหตุให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นดังกล่าว.
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มิกค์ ดารา 7 สี นั่งทานอาหารกับเพื่อนดาราสาว ก่อนแท็กซี่พุ่งชนท้ายรถเละ





มิกค์ ดารา 7 สี นั่งรับประทานอาหารร้านข้าวต้มเจ๊จู กับเพื่อนดาราสาว"ศรศิลป์ มณีวรรณ์" หรือ มะนาว เกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่พุ่งชนท้ายรถของตนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ได้รับความเสียหายจนชิ้นส่วนแตกออกมา โชคดีที่ดาราหนุ่มไม่ได้รับอันตราย
เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. ร.ต.ท.สราวุธ กังคำ พงส.สน.โชคชัย ได้รับแจ้งอุบัติเหตุ รถยนต์ของ นายมิกค์ ทองระย้า อายุ 21 ปี ดารานักแสดงสังกัด สถานนีโทรทัศน์ช่อง 7 ถูกรถแท็กซี่เฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย บริเวณหน้าร้านข้าวต้มเจ๊จู  ปากซอยนาคนิวาส 37  แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. จึงรุดเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฎง 7810 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของนายมิกค์ จอดอยู่ริมถนน จากการตรวจสอบสภาพกันชนด้ายท้ายมีร่องรอยถูกเฉี่ยวชนจนชิ้นส่วนแตกออกมา ส่วนที่บริเวณกันชนด้านหน้ายังพบว่าได้รับความเสียหายอีกเล็กน้อย ห่างไปประมาณ 10 เมตร พบรถแท็กซี่ สีเขียวเหลือง ทะเบียน มจ 2703 กรุงเทพมหานคร มีร่องรอยถูกเฉี่ยวชนด้านหน้าจนฝากระโปรงยุบ โดยมีนายนพรัตน์ เบเชะกู่ อายุ 26 ปี เป็นผู้ขับขี่ ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่
สอบสวนนายมิกค์ กล่าวว่า โดยก่อนเกิดเหตุช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปรับรางวัล ประเภทละครยอดเยี่ยม จากละครลูกไม้หลากสี ทางช่อง 7 ที่ศูนย์การค้า ซีดีซี คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ หลังจบงาน ตนก็ได้เดินทางมารับประทานอาหารที่ร้านดังกล่าว พร้อมกับ น.ส.ศรศิลป์ มณีวรรณ์ หรือ มะนาว อายุ 21 ปี  ดารานักแสดงทางช่อง 7 และเจ้าของตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2008 และญาติอีกจำนวน 2 คน โดยขณะที่รับประทานอาหารอยู่ภายในร้านตนก็ได้ยินเสียงรถชนดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อตนออกมาดูก็พบรถแท็กซี่คันดังกล่าวพุ่งชนท้ายรถของตนได้รับความเสียหาย ตนจึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ จากนั้นทาง มะนาว จึงได้ขอตัวกลับบ้านก่อน เพื่อขอกลับไปพักผ่อน
ด้านร.ต.ท.สราวุธ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประเมินมูลค่าความเสียหายไว้ประมาณ 35,000 บาท ก่อนจะประสานทางเจ้าหน้าที่ประกันภัยของรถคู่กรณีผู้เสียหายให้มาตรวจสอบ และเป็นผู้รับรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วเพื่อใช้เป็นหลักฐานต่อไป
Share:

ยธ.หว่านอีก20ล.เงินค่าเยียวยาม็อบรอบ4



ยธ. หว่านเงินค่าเยียวยาม็อบรอบ 4 เกือบ 20 ล้าน เผยยอดรวม 4 ครั้งจ่ายแล้วเฉียด 50 ล้าน เสื้อแดงยื่นหนังสือทบทวนจ่ายเพิ่มอีก เตรียมชงครม.เคาะหลักเกณฑ์ใหม่ อ้างต้องเยียวยาให้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่กระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาทางการเงินตามหลักสิทธิมนุษยชน สำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2548-2553 ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.เพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วม
พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า วันนี้เป็นการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้เสียหายจากเหตุชุมนุมทางการเมืองครั้งที่ 4 รวม 77 ราย เป็นเงินกว่า 19 ล้านบาท แยกเป็น จ.อุบลราชธานี 18 ราย อุดรธานี 28 ราย ขอนแก่น 6 ราย เชียงใหม่ 4 ราย มุกดาหาร 1 ราย และกทม. 20 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายส่วนหนึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งตนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ให้พิจารณาและออกเป็นมติ เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่ผ่านมาเป็นความเห็นชอบตามมติครม. หากจะมีการทบทวนก็ต้องให้ครม.เป็นผู้ให้ความเห็นอีกครั้ง 
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ส่วนความเป็นไปได้ในการแก้ไขเพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติมนั้น เป็นหน้าที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะเป็นผู้พิจารณาและเสนอความเห็นตามขั้นตอนต่อไป

เมื่อถามถึงมาตรการเยียวยากลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ไม่ทราบถึงมาตรการเยียวกลุ่มคนดังกล่าว ทราบเพียงความช่วยเหลือในกรณีฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ซึ่งการเยียวยากลุ่มใดหรือไม่ต้องให้คณะกรรมการมีมติและเสนอต่อครม.ในแนวทางเดียวกัน

ด้านนางธิดา กล่าวว่า การเยียวยาให้ผู้เสียหายจากคดีทางการเมืองครั้งนี้ถือเป็นการเยียวยาประเทศให้กลับไปสู่ความสงบ ซึ่งตนจะยังเดินหน้าเพื่อให้กลุ่มผู้เสียหายในส่วนที่จำคุกไม่ถึง 3 เดือน มีโอกาสได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่าหลักเกณฑ์ขณะนี้ทำให้บางรายเกิดความไม่เท่าเทียม เช่น กรณีจำคุกเกือบครบ 90 วัน ทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาตามเกณฑ์ 7.5 แสนบาท แต่ได้รับเงินเพียงค่าเยียวยารายวัน
   
สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 มีผู้ได้รับเงินเยียวยารวมกว่า 100 คน ราว 50 ล้านบาท โดยหลักเกณฑ์การเยียวยาจะแบ่งเป็นเงินเยียวยากรณีถูกคุมขังวันละ 411 บาท ตามจำนวนวันที่ถูกคุมขัง นอกจากนี้ยังมีเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจ  ซึ่งกรณีศาลมีคำสั่งยกฟ้องมีหลักเกณฑ์การเยียวยาด้านจิตใจ กล่าวคือ หากถูกคุมขังเป็นเวลา 90 วัน แต่ไม่เกิน 180 วัน ให้ได้รับเงินเยียวยา 7.5 แสนบาท ถูกคุมขังมากกว่า 180 วันขึ้นไป จะได้รับเงินเยียวยา 1.5 ล้านบาท
Share:

ทีมทนาย"เอกยุทธ"พอใจ "บิ๊กแจ๊ด" คลี่13ปมสังหาร



ทีมทนายความ "เอกยุทธ" พอใจ น.1 ตอบคำถาม 13 ประเด็นข้อสงสัย แต่ยังติดใจมูลเหตุการสังหารว่าไม่น่าเป็นเรื่องชิงทรัพย์ และฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่ยังหาไม่พบ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตร. พล.ต.ต.อภิรัตน์ ปรักมะกุล ผบก.กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พ.ต.อ.ชาญ แสงเสียงฟ้า รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ณัฎฐ์ บุรณศิริ นวท.(สบ 4 ) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.3 บก.สส.บช.น. ร่วมกันประชุมและชี้แจงข้อสงสัยใน 13 ประเด็น เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร นักธุรกิจด้านการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ที่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิต ให้กับนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และทีมทนายความที่เดินทางมาร่วมรับฟัง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
 
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฏร (กมธ.)ได้ตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับคดีการสังหารนายเอกยุทธ และประเด็นคำถาม 13 ข้อที่ทีมทนายความยังคงสงสัย นั้น ทางคณะพนักงานสอบสวน แพทย์ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ทุกคนพยายามที่จะสืบสวนเพื่อนำข้อเท็จจริงออกมาชี้แจงให้ได้ โดยหลังจากได้คำตอบแล้ว จึงเชิญทีมทนายความของนายเอกยุทธเข้ามารับฟังข้อชี้แจง พร้อมทั้งทำความเข้าใจ ขอให้สบายใจว่าไม่ได้รีบปิดคดี ตำรวจพยายามที่จะทำคดีต่อไป ทั้งหมดทุกประเด็นตำรวจพยายามที่จะสืบสวนให้ได้ครบทุกข้อ แต่ก็ยังเหลือบางประเด็นที่ทั้งตำรวจและทีมทนายความยังไม่ปักใจเชื่อ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ยืนยันว่าคดีมีความคืบหน้าไปเยอะ ยังไม่มีการปิดสำนวนแต่อย่างใด ถ้ามีหลักฐานอื่นก็สามารถนำมาเพิ่มเติมได้
 
ด้านนายสุวัตร กล่าวว่า การที่ตนเข้ามาปรึกษาปัญหาข้อสงสัยต่างๆกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ และคณะพนักงานสืบสวนและสอบสวนในคดีนี้ เราไม่มีความคิดเห็นอะไรที่ขัดแย้งกัน ประเด็นข้อสงสัย 13 ข้อ ที่เสนอให้สืบสวนเพิ่มเติมนั้นก็เพื่อช่วยเหลือพนักงานสอบสวน ให้ช่วยกันทำงานให้ดีขึ้น ตนและครอบครัวของนายเอกยุทธรู้สึกซาบซึ้งและต้องขอบคุณที่ทุกฝ่ายช่วยกันทำงานด้วยความรวดเร็ว ประเด็นที่สอบถามไปนั้น พนักงานสอบสวนได้ตอบครบ 13 ข้อแล้ว แต่บางข้อได้จากคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ซึ่งตนและพนักงานสอบสวนก็ยังไม่เชื่อ เช่น มูลเหตุจูงใจ ผู้ต้องหาให้การว่าประสงค์ต่อทรัพย์ แต่กลับนำทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธไปโยนทิ้ง ทั้งนาฬิกาโลเล็กซ์ เรือนละเป็นล้าน สร้อยคอทองคำ พระสมเด็จเลี่ยมทองเกตุไชโย องค์ละ10-20 ล้านบาท ทำให้ปักใจเชื่อไม่ได้ ซึ่งชุดสืบสวนก็พยายามที่จะค้นหาแล้ว จึงเป็นประเด็นที่จะต้องทำให้กระจ่างต่อไป
 
นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่บ้านของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็ให้การว่าเอาไปทุบจนแหละละเอียดและนำซากไปโปรยทิ้ง ประเด็นนี้ก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ ส่วนเสื้อผ้าก็ให้การว่าฉีกเป็นชิ้นๆและนำไปโปรยทิ้ง และกระเป๋าหลุยส์วิคตองของนายเอกยุทธ ผู้ต้องหาก็บอกว่านำไปหั่นเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปทำลาย สิ่งเหล่านี้ทีมทนายความและพนักงานสอบสวนยังไม่เชื่อ ต้องทำการสืบสวนต่อไป ไม่ต้องเร่ง ทำงานไปเรื่อยๆให้ได้ข้อเท็จจริง แต่ถ้าได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จะไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จและจะไม่มีการบีบบังคับใคร คำชี้แจงทั้ง 13 ประเด็นในวันนี้ ทีมทนายความรู้สึกพอใจ และเข้าใจในสิ่งที่ให้คำตอบมา แต่ก็ยังมีบางประเด็นที่ทั้งทีมทนายความและพนักงานสอบสวน ยังไม่เห็นด้วยกับคำรับสารภาพของนายบอล เชื่อว่ายังโกหกอีกหลายประเด็น พนักงานสอบสวนจึงจะทำงานต่อไป

“ในวิชาชีพกฎหมาย ยังไม่มีการให้อำนาจในการแสวงหาพยานหลักฐาน เมื่อคดียังไม่ถึงชั้นศาลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกหมายเรียกหรือทำอะไรได้เลย สิ่งเดียวที่หวังก็คือคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้และกองบังคับการปราบปราม ซึ่งถ้าบช.น.กับกองปราบทำงานร่วมกันแล้วได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น แต่ต้องตอบสังคมให้ได้ ทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นศาลจะยกฟ้องได้ มีหลายคดีที่มีเพียงแค่คำรับสารภาพอย่างเดียว ซึ่งสุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง” นายสุวัตร กล่าว
 
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกับญาติเกี่ยวกับการเผาศพของนายเอกยุทธหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ญาติยืนว่าจะเผาวันที่ 29 มิ.ย. เวลา 17.00 น. ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อถามว่า นอกจาก 13 ประเด็นนี้แล้วมีข้อสงสัยอื่นอีกหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า วันนี้มาฟังคำตอบแล้ว ก็ต้องมีการปรึกษาหารือกับทีมทนายความ และพนักงานสอบสวน เพราะมีเรื่องที่ต้องตามให้ชัดเจน ตราบใดยังไม่ได้ทรัพย์สินมีค่าของนายเอกยุทธ เราก็จะหยุดตรงนี้ไม่ได้ รวมถึงไม่มีข้อยุติเรื่องกล้องวงจรปิด และจำนวนคนร้ายว่าจำนวน 2 คน 4 คน หรือมากกว่าต้องพิสูจน์ความจริงว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ใน 13 ประเด็นที่ได้รับคำตอบ ตนรู้สึกพอใจเกือบทุกข้อ แต่มีประเด็นที่ยังสงสัย คือ มูลเหตุจูงใจหากประสงค์ต่อทรัพย์เหตุใดเอาทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงไปโยนทิ้งน้ำ และถ้าประสงค์ต่อทรัพย์บังคับนายเอกยุทธ เขียนเช็ค 100 ล้านบาทก็ผ่านไม่จำเป็นต้อง 5 ล้านบาทต้องได้มากกว่านี้ กรณีฮาร์ดดิสก์ไม่เชื่อจะนำไปทุบแล้วโปรยทิ้งเหมือนเศษกระดูกเพราะส่วนประกอบของฮาร์ดดิสก์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีหลายอย่างที่ทุบทำลายมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้ รวมทั้งกระเป๋าเอกสาร และเสื้อผ้า

นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ส่วนการตรวจรถโฟล์คที่คนร้ายนำไปล้างในราคา 4,900 บาท ทางเจ้าหน้าที่พฐ.ตรวจได้แค่นี้ตนต้องขอบคุณอย่างสูงแล้ว เจตนาที่คนร้ายนำรถล้างพนักงานสอบสวนก็ต้องหาคำตอบต่อไป ทั้งชีวิตตนก็มีเงินพอสมควรไม่เคยล้างรถราคา 4,900 บาทเพราะตนทำใจไม่ได้ นอกจากนี้นายบอลไปซื้อกางเกงยีนส์ 3 ตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ออกมาเลย 1 ตัว วางแผนเอาเงินไปได้ 5 ล้านบาทแต่ดันเข้าไปในห้างโลตัสให้กล้องวงจรปิดจับภาพได้ และเสื้อผ้าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนเป็นเรื่องที่ต้องตามต่อไป
 
เมื่อถามว่า จะไปพูดคุยกับนายบอลที่เรือนจำหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ตนพยายามที่จะเข้าไปจุดนั้นเพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ตนเข้าไปนึกหรือว่านายบอลจะให้ความร่วมมือเป็นไปไม่ได้เลย ขนาดอยู่ข้างนอกนายบอล ยังโกหกตนพอจับได้ก็โกหกต่ออีก จึงไม่มีทางได้รับความร่วมมือจากนายบอล กรณีดังกล่าวเป็นความสามารถของพนักงานสอบสวนที่เรียนวิธีการสอบสวนมาว่าจะเชื่อหรือไม่ ถ้าผู้ต้องหาโกหกจะไล่อย่างไรระดับนายพลแล้วเราต้องไว้ใจ และจะไม่ขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นมาร่วมตรวจสอบ ดีเอสไอ ตนไม่เอาเลย ให้ไปไกลๆ เลย ตนไม่ขอหน่วยงานอื่นแต่ก่อนหน้านี้ลูกชายของนายเอกยุทธ เคยร้องขอทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับเรื่องขอตรวจรถ และตรวจศพนายเอกยุทธ โดยจะให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ตรวจตนก็ให้นัดกันเอาเอง แต่ญาติยืนยันว่าถ้าต้องมีการผ่าศพอีกก็ไม่ยอมจะให้ตรวจแต่เพียงภายนอก และมีการสงสัยเรื่องลูกอัณฑะบวมขึ้นเพราะอะไร โดยแพทย์ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเกิดจากบีบธรรมดาหรือไม่
Share:

ยื่นสอบอีก8ประเด็น"ปู่เณรคำ"กับพวกเข้าข่ายทำผิดก.ม.



ปธ.เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติฯ ยื่นกองปราบสอบอีก 8 ประเด็น "ปู่เณรคำ" กับพวก เข้าข่ายทำผิดกฏหมาย หลังก่อนหน้านี้ได้ยื่นให้ตรวจสอบการกระทำแล้ว 13 ประเด็น
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม กรณีหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่มีการกระทำที่เข้าข่ายขัดต่อพระธรรมวินัย และเป็นความผิดคดีอาญาหลายประเด็น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยเข้าร้องเรียนขอให้ บก.ป.ตรวจสอบการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย และขัดต่อกฎหมายไว้แล้ว 13 ประเด็น โดยทำหนังสือร้องเรียน พร้อมกับนำภาพถ่ายและเอกสารต่างๆ อาทิ คำให้การต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ใบประเมินราคาทองคำจากผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ มอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินการ
นายสงกรานต์ กล่าวว่า จากกรณีพระวิรพล สุขผล หรือ หลวงปู่เณรคำ ร่วมกับบริษัท ขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด และพวก ได้กระทำการที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา หลายประเด็น ซึ่งตนเคยเข้าร้องเรียนให้ทาง บก.ป.ตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้แล้ว 13 ประเด็น ขณะนี้ ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบการกระทำที่น่าจะเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติมอีก 8 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การออกใบสำคัญรับเงิน หรืออนุโมทนาบัตร หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงว่าได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากการบริจาค หรือเรี่ยไร ของหลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ มีหรือไม่ 2.บุคคล หรือนิติบุคคล ที่หลงเชื่อโฆษณาการจัดสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ของหลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ นั้น มีหลักฐานการส่งมอบทรัพย์สินต่างๆ หรือไม่ เช่น ใบนำฝากเงิน สลิปการโอนเงิน ฯลฯ 3.ผู้รับเหมาก่อสร้างองค์พระแก้วมรกต หรือถาวรวัตถุในสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ และสาขาอื่นๆ ได้จดแจ้งสถานะของสำนักสงฆ์เป็นเช่นไร เกี่ยวกับสถานะการจัดสร้างองค์พระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ว่าได้รับพระบรมราชานุญาต แล้วหรือไม่
4.ทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้รับบริจาค หรือเรี่ยไร หลวงปู่เณรคำ หรือบริษัท ขันติธรรมฯ ได้นำไปมอบให้ หรือยักย้าย ถ่ายเท หรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยใช้ชื่อบุคคล หรือนิติบุคคล เป็นผู้ถือครอง หรือมีผู้ถือกรรมสิทธิแทนหรือไม่ 5.การขอรับเงินบริจาค หรือเรี่ยไร ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ และหากได้รับอนุญาต มีระยะเวลากำหนดเริ่มต้นและสิ้นสุดเมื่อใด ตลอดจนในใบอนุญาตก็จะต้องระบุปริมาณเงินที่ประสงค์จะรับบริจาค หรือเรี่ยไร ไว้ด้วย โดยใบอนุญาตดังกล่าวจะออกโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 6.การใช้ชื่อ รพ.ร้อยเอ็ด รับเงินบริจาค หรือเรี่ยไร โดยมีชื่อหลวงปู่เณรคำ ในการโฆษณารับบริจาคเพื่อสร้างอาคารสูง มีการเปิดบัญชีธนาคาร โดยทาง ผอ.รพ.ดังกล่าว มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ และจำนวนเงินในบัญชีมีเท่าใด รวมทั้งได้นำเงินไปใช้ตามที่โฆษณาไว้หรือไม่
7.การใช้ชื่อวัดป่าขันติธรรม ไปโฆษณาชวนเชื่อหรืออวดอ้างต่อประชาชน โดยรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีสถานะเป็นวัด แต่อย่างใด และยังไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีชื่อเป็นวัดป่าขันติธรรม โดยให้ประชาชนหลงเชื่อบริจาคเงิน หรือทรัพย์สิน จึงเป็นการเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ประชาชนทราบ ทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนได้รับความเสียหาย และ 8.เรื่องของการรับเงิน และทรัพย์สินที่เกิดความเสียหายชัดแจ้ง ปรากฎพยานหลักฐานจาก 2 กรณี คือ 8.1 กรณีการจัดพิธี “มหากฐินทาน” โดยจัดทำต้นกฐินสูง 9 เมตร 36 ต้น ได้รับเงินบริจาคกว่า 100 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 และ 8.2 หลวงปู่เณรคำ ได้กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหารคลุมองค์พระแก้วมรกต ระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2554 มีใจความว่า ทองคำที่รับบริจาคมากว่า 2 ปี มีจำนวนกว่า 8,000 กิโลกรัม จึงได้ประสานร้านทองคำซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญให้คำนวณปริมาณทองคำกับราคาขาย ซึ่งพบว่า ทองคำกว่า 8,000 กิโลกรัม นั้น มีมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมในครั้งนี้ อยากให้ทางตำรวจ บก.ป.ช่วยสืบสวนสอบสวน และหากพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดคดีอาญา ก็ขอดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามความผิดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดในฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ขณะที่ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้โดยจะเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่มีการร้องเรียนดังกล่าว เบื้องต้นได้มอบหมายพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ อย่างไรก็ดี ทางตำรวจ บก.ป.ยืนยันว่าพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะมีการแจ้งผลการสืบสวนสอบสวนประเด็นต่างๆ ให้ทราบต่อไป
Share:

คุณตารักษ์โลกปลูกดอกไม้ริมทางแทนคิดถึงเมีย






พบคุณตารักษ์โลก วัย 86 ปี ใช้บั้นปลายชีวิตปลูกดอกไม้ไว้ริมถนนเข้าหมู่บ้านและหน้าบ้านจนสวยงาม สร้างความชื่นชอบแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา เป็นการออกกำลังกาย อยากให้ท้องถิ่นงดงาม และแทนคิดถึงเมียที่ล่วงลับไปแล้ว
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. มีคุณตาที่ชื่นชอบปลูกดอกไม้บริเวณหน้าบ้านตนเอง และถนนสายเข้าหมู่บ้านยาวกว่า 800 เมตร หมั่นดูแลรักษาจนสวยงารม จนชาวบ้านหลายคนต้องนำเป็นแบบอย่าง นำกล้าดอกไม้ไปปลูกหน้าบ้านกันจำนวนมาก สร้างความงดงามให้กับท้องถิ่น ที่ถนนสายวัดดงแตง-ท่าหมื่นราม หมู่ 3 ต.หนองพระ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
นายบุญเพ็ญ สุขเกษม อายุ 86ปี อยู่บ้านเลขที่ 447 หมู่ 3 บ้านหนองพระ ต.หนองพระ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ น.ส.ประภาศรี สุขเกษม อายุ 56 ปี ลูกสาว โดยบ้านของคุณตาบุญเพ็ญพบว่าตั้งแต่หน้าปากซอยจากถนนสายหลัก ถนนสายวังทอง-สากเหล็ก ทางเข้าหมู่บ้าน และถนนสายวัดดงแตง-ท่าหมื่นราม มีดอกแพงพวย ออกดอกสีม่วง อมชมพู สลับสีขาวสวยงาม ทอดตัวยาวริบสายตาริมถนนทั้งสองข้างทาง โดยมีคุณตาบุญเพ็ญ กำลังดูแดดอกไม้ ปลูกต้นไม้ ถอนหญ้า และโรยเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ แทรกไปจนเต็มพื้นที่ 2 ฝั่งถนน
คุณตาบุญเพ็ญ เปิดเผยให้ฟังว่า ครอบครัวคุณตามีลูก ๆ ทั้งหมด 9 คน ทุกคนมีงานทำและแยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ตนพักอาศัยกับลูกสาว และพอภรรยาเสียเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ตนคิดถึงแต่ภรรยาและไม่รู้ทำอย่างไร จึงหันไปปลูกดอกไม้หน้าบ้าน และถนนทางเข้าหน้าปากซอย อีกทั้งชื่นชอบดอกไม้อยู่แล้ว จึงอาศัยเวลาว่างปลูกดอกไม้ เพื่อความสวยงามและร่มรื่น โดยเฉพาะดอกแพงพวย สีชมพู สีขาว ดอกดาวกระจาย ดอกพุด ดอกชบา ซึ่งตอนแรกชาวบ้านเห็นตนเองปลูกดอกไม้ริมถนนหนทาง ก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อต้นไม้ที่ปลูกออกดอก เพื่อนบ้านต่างยิ้มแย้มและทักทายตนเป็นประจำ และบางครั้งมาขอพันธุ์กล้าดอกไม้ไปปลูกที่บ้าน และถนนเส้นอื่น ๆอีกด้วย
ด้านน.ส.ประภาศรี สุขเกษม บุตรสาว กล่าวว่า เห็นคุณพ่อปลูกต้นไม้มานานแล้ว และทำเป็นกิจวัตรประจำวันทุกวัน เช้ามาก็มาโรยเมล็ดพันธุ์และถอนวัชพืช ช่วงนี้ฝนตกก็เบาการลดน้ำหน่อย แต่ต้องคอยดูแลวัชพืชตลอดเวลา เป็นการออกประจำกายทุกวันของคุณพ่อ เมื่อเพื่อนเห็นบ้านหรือขับรถผ่านเมื่อไรก็จะทักทายคุณพ่อเสมอ บางคนบอกว่าสวยงามมาก บางคนก็ขอกล้าดอกไม้ไปปลูก ซึ่งคุณพ่อก็ไม่หวงห้ามแต่อย่างใด แถมยังส่งเสริมให้ไปปลูกตามพื้นที่ต่าง เพื่อความสวยงามตามธรรมชาติอีกด้วย
Share:

บุกตรวจโรงสีเชียงรายข้าวล่องหนนับพันตัน







บุกตรวจโรงสีเชียงราย ข้าวหายล่องหนนับพันตัน
 เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27  มิ.ย. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผวจ.เชียงราย  พร้อมด้วย พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณ ศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย และเจ้าหน้าที่อตก. และ อคส. เจ้าหน้าที่กรมการภายใน จ.เชียงราย นำกำลังเข้าตรวจสอบข้าว ภายในโรงสี ที พี เอ็น ไรซ์มิล จำกัด ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย หลังได้รับแจ้งจากคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งเป็นชุดตรวจค้นว่าพบสิ่งผิดปกติภายในโกดังเก็บข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวนาปรังประจำปี 2555/2556  ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งแปลกปลอมปนในถุงข้าว ยังพบว่าอาจมีข้าวหายไปกว่า 1,000 ตัน

 เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27  มิ.ย. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผวจ.เชียงราย  พร้อมด้วย พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณ ศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย และเจ้าหน้าที่อตก. และ อคส. เจ้าหน้าที่กรมการภายใน จ.เชียงราย นำกำลังเข้าตรวจสอบข้าว ภายในโรงสี ที พี เอ็น ไรซ์มิล จำกัด ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย หลังได้รับแจ้งจากคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งเป็นชุดตรวจค้นว่าพบสิ่งผิดปกติภายในโกดังเก็บข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวนาปรังประจำปี 2555/2556  ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งแปลกปลอมปนในถุงข้าว ยังพบว่าอาจมีข้าวหายไปกว่า 1,000 ตัน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีสิ่งแปลกปลอม ลักษณะเป็นแกลบอัดแท่ง และข้าวคุณภาพต่ำ มีลักษณะเหมือนข้าวเก่า บางส่วนมีราดำขึ้น และมีมอดข้าวปะปน ขณะที่ บางส่วนเป็นข้าวสีแดง นอกจากนี้พบแกลบอัดแท่งอยู่ในจุดที่ลึกสุด และถัดมาเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ส่วนด้านหน้าเป็นข้าวขาว จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน

ด้าน นายณัฐพล พฤษถาพร เจ้าของโรงสีกล่าวยืนยันว่า ข้าวที่รับจำนำจากเกษตรยังมีอยู่ครบ โดยรับจำนำข้าวเปลือกไว้จำนวน 2 หมื่นตัน แต่ได้แปรรูปเป็นข้าวสารแล้ว 1 หมื่นตัน  ส่วนข้าวที่ไม่มีคุณภาพเป็นข้าวที่ทางโรงสีคัดแยกออกจากข้าวปกติ เพราะเป็นข้าวที่ไม่ดี และไม่ได้เป็นข้าวอยู่ในโครงการรับจำนำ ขณะที่แกลบอัดแท่งเป็นสิ่งที่ทางโรงสีผลิตขึ้น เพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน คนงานจึงนำมาเก็บรวมกันกับข้าวที่รับจำนำ

ขณะที่ นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว่า ตามหลักแล้วข้าวที่รับจำนำควรแยกออกจากข้าวของโรงสีข้าว ไม่ควรนำมาปะปนกัน ส่วนกรณีข้าวที่หายไปกว่า 1,000 ตัน ล่าสุดได้สั่งให้มีการตรวจสอบใหม่อย่างละเอียดแล้ว เพราะโรงสีแห่งนี้มีที่เก็บข้าวถึง 7 โกดัง แต่นับได้เพียง 4 โกดัง จึงไม่ทราบจำนวนทั้งหมด หากตรวจนับไม่ครบจำนวนจะดำเนินคดี ส่วนกรณีข้าวไร้คุณภาพนั้น ต้องดูจำนวนที่รับจำนำก่อนว่า ข้าวจำนวนเหล่านี้ไปรวมอยู่หรือไม่ หากรวมจะต้องให้หน่วยงานที่เชี่ยวชาญมาตรวจสอบต่อไป

ทางด้าน พล.ต.ต.วันชัย กล่าวว่า ตำรวจมีหน้าที่ในการตรวจปริมาณข้าวเท่านั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณภาพข้าว และหากพบว่ามีปริมาณครบ จะบันทึกว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่หากเป็นกรณีของโรงสี ทีพีเอ็นไรท์มิล จำกัด ซึ่งปริมาณข้าวยังไม่ตรงกับปริมาณที่รับจำนำ ทำให้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นยังเซ็นรับรองไม่ได้ว่าข้าวอยู่ครบจำนวนหรือไม่.
Share:

นร.หญิงฉาวหนีเรียน ตั้งวงก๊งเหล้าเมากลิ้ง


ศูนย์เสมารักษ์โคราชสอบสวนคลิปนักเรียนพลอดรักริมถนน วอนประชาชนแจ้งเบาะแสนักเรียนหนีเรียน พฤติกรรมมั่วสุม สร้างความรำคาญ ที่สายด่วน 1579 เพื่อระงับเหตุก่อนบานปลายกลายเป็นปัญหาสังคมรุนแรง

หลังจากเดลินิวส์นำเสนอภาพข่าวและคลิปวิดีโอ เป็นภาพนักเรียนหญิงระดับมัธยมในชุดเครื่องแบบ พลอดรักกับแฟนหนุ่ม ริมถนนสาธารณะ ทางไปสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (สนามซีเกมส์) อ.เมือง จ.นครราชสีมา จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์คกันอย่างกว้างขวางนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. นายสมบัติ สังวร ประธานพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (พสน.) ศูนย์เสมารักษ์โคราช เปิดเผยว่า หลังจากเรื่องนี้ตกเป็นข่าวอื้อฉาว ได้มีชาวบ้านร้องเรียนให้ศูนย์ไปช่วยตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่อจริง  โดยฝ่ายหญิงเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ส่วนฝ่ายชายไม่ได้เรียนหนังสือ และทั้งคู่มีปัญหาพ่อแม่ยากทางกัน ขณะที่ฝ่ายหญิงเพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ ทางโรงเรียนได้เรียกนักเรียนมาตักเตือนและเชิญผู้ปกครองมาพบแล้ว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์เสมารักษ์ได้รับแจ้งให้เข้าไประงับเหตุเด็กนักเรียนหญิงหนีเรียนมามั่วสุมดื่มสุราในสาธารณะแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองนครราชสีมา จึงเข้าไปพูดคุยตักเตือนและควบคุมตัวส่งให้ทางโรงเรียนดำเนินการตามกฎระเบียบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ พฤติกรรมในทางเสื่อมเสียของเด็กนักเรียนในตัวเมืองนครราชสีมา  จากสถิติการรับแจ้งและเข้าระงับเหตุเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา มี 1,318 คน ส่วนในปีนี้มีเด็กนักเรียนกระทำผิดในหลายรูปแบบเฉลี่ย 40-50 คนต่อเดือน
“อย่างไรก็ตาม ปัญหาพฤติกรรมในทางลบของเด็กนักเรียน ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่อง หากพบเห็นเด็กนักเรียนหนีเรียนไปแอบมั่วสุมในสถานที่ใดก็ตาม ขอให้แจ้งมาที่ศูนย์เสมารักษ์โคราช ได้ที่สายด่วน 1579 ทางศูนย์มีเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและระงับเหตุได้ทันท่วงที และหากทุกคนไม่ช่วยกัน ทั้งโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน ต่างฝ่ายต่างปล่อยปละละเลย ปัญหาเด็กนักเรียนนอกแถวก็อาจจะกลายเป็นต้นตอของปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาภายหลัง  เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด  ท้องก่อนวัยอันควร และการทำแท้งเป็นต้น”.นายสมบัติ กล่าวทิ้งท้าย.
Share:

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ศึกอาชีวะรายวันกดักไล่ฆ่าอริอดีตรุ่นพี่สังเวยดับคาถนน






เปิดศึกอาชีวะไล่ยิงอุกอาจดับ 1 เจ็บคู่ ตำรวจเร่งแกะภาพวงจรปิดใช้ล่าจับ
เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 21 มิ.ย. ร.ต.ท.ธนาเดช หนูเอียด พงส.สน.นิมิตรใหม่ รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต บนถนนสามวา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาให้ทราบ รุดเดินทางไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สมโภชน์ ทัศนา ผกก.สน.นิมิตรใหม่ พ.ต.ท.ศรัณชัย เอี่ยมธนดล สวป. พ.ต.ท.พิสิทธิ์ ตั้งศิริเสถียร สว.กก.สส.บก.น.3  ร.ต.อ.ทศพร ประพาสมณเฑียร รอง สว.สส.สน.นิมิตรใหม่ ฝ่ายสืบสวนสน.นิมิตรใหม่ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุบริเวณป่าหญ้าริมถนน ห่างไกลบ้านเรือนประชาชน พบศพนายศรัญยู สิงห์สาหัส อายุ 20 ปี สภาพศพนอนหงายจมกองเลือด สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทา กางเกงขายาวลายพรางทหาร มีบาดแผลถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาด เข้าที่หน้าท้องจำนวนหลายนัด บริเวณระหว่างขาพบมีดดาบยาวประมาณ 2 ฟุต ตกอยู่ 1 เล่ม ใกล้กันยังพบท่อนเหล็กยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ตกอยู่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังพบผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่ง รพ.นพรัตน์ไปก่อนหน้านี้จำนวน 2 ราย อาการสาหัส 1 คน
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายพร้อมเพื่อนกำลังขี่รถ จยย. 3 คัน ไปทั้งหมด 8 คน เพื่อมุ่งหน้ากลับที่พักในย่านดังกล่าว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้มีกลุ่มวัยรุ่นซึ่งคาดว่าเป็นนักเรียนคู่อริสถาบันแห่งหนึ่งประมาณ 30 คน รถ จยย.กว่า 20 คัน ดักรอกลุ่มผู้ตายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้โบกให้กลุ่มผู้ตายให้จอดรถ ก่อนจะถามว่าเป็นเด็กโรงเรียนมีนบุรีโปลีเทคนิคใช่หรือไม่ เมื่อกลุ่มผู้ตายเห็นท่าไม่ดีจึงหันหัวรถกลับ กลุ่มคนร้ายจึงวิ่งไล่ จนเป็นเหตุทำให้ผู้ตายกระโดดลงจากรถ จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด พร้อมกับผู้ตายได้ล้มลง ก่อนที่กลุ่มคนร้ายทั้งหมดจะขี่รถ จยย.หลบหนีไป
พ.ต.อ.สมโภชน์ กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าผู้ตายเคยเรียนจบ ปวช.จากที่โรงเรียนมีนบุรีโปลีเทคนิคมาหลายปีแล้ว โดยตอนนี้ยังไม่ได้ทำงานและช่วยงานที่บ้านอยู่ ส่วนคนเจ็บนั้นทราบชื่อต่อมาคือนายธนพล หรือเต้ มั่นจิตร อายุ 17 ปี ถูกยิงที่หลัง 2 นัดอาการสาหัส และนายมงคล หรือนะโม (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 18 ปี ถูกยิงที่ขา 1 นัด อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนสาเหตุสันนิฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มคู่อริโรงเรียนต่างสถาบันของผู้ตาย โดยทราบว่ากลุ่มผู้ตายจะใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นประจำ เมื่อกลุ่มผู้ตายมาถึงก็ได้ลงมือทำร้ายก่อนจะหลบหนีไป อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนหากล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมเรียกญาติและเพื่อนผู้ตายมาสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาเบาะแสของคนร้ายและติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
Share:

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ 095-219-0106

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blog Archive

Followers

Blog Archive